การประชุมสุดยอดรัสเซีย-สหรัฐฯ ปี 2025 ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "อะแลสกา 2025" หรือ การประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ส.ค.2568 ณ ฐานทัพร่วมเอล์เมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน ในเมืองแองคอเรจ รัฐอะแลสกา
การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ปูตินได้รับเชิญให้เดินทางมายังประเทศตะวันตกนับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบในปี 2565 ประเด็นหลักของการเจรจาคือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่ง ปธน.ทรัมป์ตั้งเป้าที่จะยุติ การเลือก "อะแลสกา" เป็นสถานที่จัดการประชุมนี้สะท้อนถึงการพิจารณาอย่างรอบคอบจากหลายปัจจัย ทั้งในมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และกฎหมาย

ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์-ยุทธศาสตร์
Al Jazeera ระบุว่า ประการแรก ทำเลที่ตั้งของอะแลสกาถือว่า "ค่อนข้างสมเหตุสมผล" เนื่องจากตั้งอยู่ระหว่างเมืองหลวงของทั้ง 2 ประเทศ โดยมีช่องแคบเบริงเป็นพรมแดนธรรมชาติที่แคบที่สุดเพียง 90 กิโลเมตร (55 ไมล์) ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษา ปธน.รัสเซีย ได้กล่าวถึงเหตุผลนี้ว่าเป็นการเดินทางข้ามช่องแคบเบริงมายังอะแลสกาเพื่อจัดการประชุมสุดยอดที่สำคัญ
ประการที่สอง การที่สถานที่จัดการประชุมคือ ฐานทัพร่วมเอล์เมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน ที่เป็นฐานทัพทหารที่ใหญ่ที่สุดของอะแลสกาและเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการฝึกซ้อมทางทหารในภูมิภาคอาร์กติก การเยือนของ ปธน.รัสเซีย ในพื้นที่ทหารของสหรัฐฯ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในระหว่างการมาถึงของผู้นำทั้งสอง ก็มีการแสดงแสนยานุภาพทางอากาศของสหรัฐฯ โดยมีเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 Stealth Bomber และเครื่องบินรบ F-22 บินผ่านเหนือศีรษะ ซึ่งนักวิจารณ์หลายคนมองว่าเป็นการแสดงถึง "อำนาจเหนือกว่า" และ "ความเหนือกว่าทางอากาศของอเมริกา"

นอกจากนี้ การประชุมไม่ได้จัดแบบตัวต่อตัว แต่เป็นแบบ 3:3 โดยมีคณะผู้แทนเข้าร่วมด้วย และ ปธน.ปูติน ยังเลือกที่จะเดินทางด้วยรถประจำตำแหน่งของทรัมป์แทนรถของตนเอง
ประการที่สาม The Guardian ระบุว่า รูปแบบการดำเนินนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ ที่มักจะเน้นการเจรจาแบบทวิภาคีมากกว่าพหุภาคี และมีลักษณะไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งอาจมีส่วนในการเลือกสถานที่และรูปแบบการประชุมที่ทำให้เขาสามารถลองหยั่งเชิงอีกฝ่ายได้อย่างอิสระ
นัยทางประวัติศาสตร์
อะแลสกามีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับรัสเซียโดยตรง โดยเป็นดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของรัสเซีย ก่อนที่จะถูกขายให้กับสหรัฐฯ ในปี 2410 ด้วยมูลค่า 7,200,000 ดอลลาร์สหรัฐ การขายครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากรัสเซียพ่ายแพ้ในสงครามไครเมีย (พ.ศ.2396-2397) และต้องการระดมทุน รวมถึงป้องกันการยึดครองจากอังกฤษ
แม้ในตอนแรกจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นความโง่เขลาของซีวาร์ด (Seward's Folly) แต่คุณค่าของอะแลสกาก็เป็นที่ประจักษ์หลังจากการตื่นทองคลอนไดก์ในปี 2439 และท้ายที่สุดก็ได้รับการประกาศให้เป็นรัฐของสหรัฐฯ ในปี 2502 การที่อะแลสกาเคยเป็นพื้นที่สำคัญในช่วงสงครามเย็นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ของการประชุมครั้งนี้

อีกหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่อะแลสกาถูกเลือกคือ สถานะทางกฎหมายของปูตินที่เผชิญกับหมายจับจากศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาอาชญากรรมสงคราม อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นภาคีของธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งเป็นพื้นฐานของศาลอาญาระหว่างประเทศ ทำให้ไม่มีพันธะผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามหมายจับดังกล่าวหากปูตินเดินทางเข้าสู่ดินแดนสหรัฐฯ การเลือกอะแลสกาจึงเป็นการอำนวยความสะดวกให้การประชุมสามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความซับซ้อนทางกฎหมายระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้นในประเทศอื่นที่เป็นภาคีของ ICC
"อะแลสกา" หัวใจการเจรจาสันติภาพ-การเปลี่ยนแปลงในอาร์กติก
ข้อมูลจาก Changing Geopolitics in the Arctic การประชุมครั้งนี้ยังเกิดขึ้นในขณะที่ภูมิภาคอาร์กติกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและลึกซึ้ง เช่น
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาร์กติกกำลังอุ่นขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3 เท่า การละลายของน้ำแข็งทะเลไม่ได้เพียงเปลี่ยนระบบนิเวศ แต่ยังเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่ ๆ ที่รัสเซียต้องการพัฒนาให้เป็นเส้นทางคมนาคมระดับโลก NOAA คาดการณ์ว่าอาร์กติกอาจประสบกับฤดูร้อนที่ปราศจากน้ำแข็งภายในปี 2593 หรืออาจจะเร็วสุดในปี 2578
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมประมงในอะแลสกา โดยเห็นได้จากความเสียหายมูลค่า 1,800 ล้านดอลลาร์ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลระหว่างปี 2565-2566 ในขณะเดียวกัน การเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่ ๆ ก็สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจของอะแลสกาในปัจจุบันยังคงพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ การประมง และการท่องเที่ยวเป็นหลัก
การขยายตัวของ NATO การที่ฟินแลนด์และสวีเดนเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ความมั่นคงในภูมิภาคอาร์กติกอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้ความตึงเครียดทางทหารเพิ่มขึ้น และบังคับให้รัสเซียต้องเสริมกำลังทหารในอาร์กติกเพื่อตอบโต้
บทบาทของจีน การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกทำให้รัสเซียหันไปกระชับความสัมพันธ์กับจีนมากขึ้นภายใต้โครงการ "เส้นทางสายไหมขั้วโลก"

การเลือกอะแลสกาเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดทรัมป์-ปูติน จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการคำนึงถึงมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และบริบทของภูมิภาคอาร์กติกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นฉากหลังของการเจรจาที่มีเดิมพันสูงสำหรับอนาคตของสงครามยูเครนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ
ที่มาข้อมูล : Al Jazeera, The Guardian, Changing Geopolitics in the Arctic
อ่านข่าวอื่น :
ทรัมป์ให้เต็ม 10 เผยตกลงแลกเปลี่ยนดินแดนยูเครนบางส่วนกับ "ปูติน"
แอร์ แคนาดา หยุดบิน สั่งพักงาน พนง. หลังข้อพิพาทสัญญาค่าจ้างไม่ลงตัว