ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สัมผัสเสน่ห์ "กว่างซี" ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมจีน

สังคม
15:10
104
สัมผัสเสน่ห์ "กว่างซี" ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมจีน

กว่างซี (Guangxi) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง" ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศจีน เป็นดินแดนที่มีความโดดเด่นทั้งทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ กว่างซีมีพรมแดนทางทิศใต้ติดกับประเทศเวียดนาม และอ่าวตังเกี๋ย ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีความสำคัญทั้งในเชิงยุทธศาสตร์ การค้า และการคมนาคมทางทะเลมาตั้งแต่สมัยโบราณภูมิประเทศของกว่างซีส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบสูงสลับซับซ้อน 

นอกจากนี้ กว่างซียังเป็นถิ่นอาศัยของชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก โดยเฉพาะชนชาติจ้วง (Zhuang) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ผู้คนที่นี่ดำรงชีวิตตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิม มีภาษา วัฒนธรรม ดนตรี และงานหัตถกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปี กว่างซีจึงเป็นแหล่งกำเนิดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม หลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายยังคงหลงเหลืออยู่ในภูมิภาคแห่งนี้

กว่างซี ดินแดนที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ไว้อย่างลงตัว พร้อมพาทุกคนออกเดินทางไปสัมผัสและเรียนรู้ส่วนหนึ่งของเรื่องราวจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์

อ่านข่าว : "กว่างซี" ประตูยุทธศาสตร์เชื่อมจีน-อาเซียน ไทยคู่ค้าอันดับ 2 โอกาสสินค้าสู่ตลาดโลก

"สามถนนสองตรอก" แลนด์มาร์กประวัติศาสตร์ เสน่ห์วัฒนธรรมจีนโบราณ

"สามถนนสองตรอก" หรือ ซานเจียเหลี่ยงเซี่ยง (三街两巷) สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชื่อดัง ตั้งอยู่ในเขตซิงหนิง ใจกลางเมืองหนานหนิง เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง

"สามถนน" (三街) หมายถึง ถนนซิงหนิง (兴宁) ถนนหมินเซิง (民生) และถนนเจี่ยฟั่ง (解放)

ส่วน "สองตรอก" (两巷) ได้แก่ ซอยจินซือ หรือซอยสิงโตทอง และซอยหยินซือ หรือซอยสิงโตเงิน ซึ่งเป็นตรอกโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง มีอายุกว่าร้อยปี

ในอดีต พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของเมืองหนานหนิง ปัจจุบันได้รับการอนุรักษ์และพัฒนาให้เป็นย่านท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมและการค้าสมัยใหม่ โดยคงสถาปัตยกรรมจีนดั้งเดิมไว้ได้อย่างงดงาม อาคารเก่าแก่หลายหลังได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นเมืองเก่าไว้อย่างชัดเจน

ย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสำคัญ เช่น วัดเทพเจ้าแห่งเมืองหนานหนิง และอนุสรณ์สถานเติ้งหยิงเฉา สตรีผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของจีน และภริยาของโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศจีน

สามถนนสองตรอก ยังเป็นแหล่งรวมอาหารพื้นเมืองชื่อดังของหนานหนิง โดยเฉพาะ "เหล่าโยว่ปิง" (老友併) ขนมแป้งอบสูตรโบราณที่มีความหมายว่า ขนมสหาย หรือ ขนมเพื่อนเก่า ซึ่งถือเป็นของฝากยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือน

ด้วยการผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน "สามถนนสองตรอก" จึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองหนานหนิง ที่สะท้อนภาพความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมควบคู่ไปกับความมีชีวิตชีวาของเมืองยุคใหม่อย่างลงตัว

 

อ่านข่าว : หนานหนิงศูนย์กลาง AI สะพานเทคโนโลยีจีน-อาเซียนสู่อนาคตดิจิทัล

ย้อนรอย 2 พันปี "ภาพเขียนผาฮวาซาน" หลักฐานศิลปะและจิตวิญญาณ

"ภาพเขียนบนหน้าผาฮวาซาน" (Hua Shan Rock Art / 花山岩画) หรือที่ชาวจ้วงเรียกว่า "ผาลาย" หนึ่งในหลักฐานทางประวัติศาสตร์และศิลปกรรมอันทรงคุณค่าแห่งชนชาติจ้วง ตั้งอยู่บนหน้าผาหินปูนริมแม่น้ำหมิงเจียง (Mingjiang River) เมืองหนิงหมิง

เชื่อกันว่าภาพเขียนเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของชาวจ้วงเมื่อราว 200 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 2,225 ปีมาแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมโบราณและความเชื่อทางจิตวิญญาณของผู้คนในยุคนั้น

ภาพเขียนประกอบด้วยภาพบุคคล เครื่องมือ และสัตว์ต่าง ๆ รวมกว่า 1,900 ภาพ โดยเฉพาะภาพพิธีกรรม การเต้นรำ การประกอบพิธีทางศาสนา และกิจกรรมในชีวิตประจำวันของชุมชน ซึ่งเป็นการบันทึกวิถีชีวิตของคนในสมัยโบราณไว้อย่างละเอียด

หนึ่งในภาพที่มีความหมายโดดเด่นคือ ภาพกบ ซึ่งชาวจ้วงโบราณเชื่อมโยงกับสังคมเกษตรกรรม กบเป็นสัญลักษณ์แห่งฤดูเพาะปลูก เมื่อกบส่งเสียงร้อง หมายถึงฤดูกาลแห่งการผลิตได้เริ่มต้นขึ้น อีกทั้งกบยังเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อการเกษตร เพราะช่วยกำจัดแมลงในไร่นาโดยไม่ต้องใช้สารเคมี

ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม และวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ ภาพเขียนบนหน้าผาฮวาซานจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยองค์การยูเนสโก เมื่อวันที่ 15 ก.ค 2559 หรือเมื่อ 9 ปีที่แล้ว

"เมืองโบราณไท่ผิง" มรดกแห่งกาลเวลา เมืองเก่ากว่า 1,000 ปี

"เมืองโบราณไท่ผิง" (Taiping Ancient Town / 太平古城) เมืองเก่าแก่ ที่ตั้งอยู่ในเขตเจียงโจว เมืองฉงจั่ว คือแหล่งประวัติศาสตร์ที่สะท้อนร่องรอยอารยธรรมจีนโบราณมายาวนานกว่า 1,000 ปี ทั้งยังเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรม ประเพณี และสถาปัตยกรรม

เมืองไท่ผิงเริ่มต้นขึ้นในสมัย ไท่ผิงซิงกั๋ว (ค.ศ. 976–984) แห่งรัชสมัยจักรพรรดิไท่จง ราชวงศ์ซ่ง โดยหมู่บ้านไท่ผิงได้ถูกก่อตั้งขึ้นในยุคนั้น

จุดนี้เคยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและลำน้ำ เคยผ่านสมรภูมิรบมานับสิบครั้ง ก่อนจะได้รับการพัฒนาและขยายตัวในสมัยราชวงศ์หยวน หมิง และชิง ซึ่งได้ร่วมกันสถาปนาถนนไท่ผิง และเขตปกครองไท่ผิง ตามลำดับ

หนึ่งในเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองนี้คือ กำแพงเมืองโบราณ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1372 ในสมัยราชวงศ์หมิง เดิมเป็นกำแพงดินสูงราว 7 เมตร ล้อมรอบเมืองยาวกว่า 2 กิโลเมตร ต่อมาหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ได้มีการบูรณะเปลี่ยนเป็นกำแพงหิน ซึ่งปัจจุบันยังคงหลงเหลือให้ชมอยู่ประมาณ 1.3 กิโลเมตร

ปัจจุบัน เมืองโบราณไท่ผิงได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ผสมผสานความเก่าแก่กับความร่วมสมัยนักท่องเที่ยวยังสามารถสัมผัสเสน่ห์ของอดีตได้จาก ประตูเมืองเก่า ถนนหินโบราณ และสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่แฝงกลิ่นอายของยุคสมัยราชวงศ์หมิงและชิง อีกทั้งยังได้ลิ้มรสอาหารพื้นเมือง ชมการแสดงทางวัฒนธรรม และเลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่น

นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ มุมถ่ายภาพยอดนิยม รวมถึงบริการเช่าชุดจีนโบราณ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสวมใส่ถ่ายรูปท่ามกลางบรรยากาศเมืองเก่า

 

ประตูมิตรภาพจีน-เวียดนาม จากสมรภูมิรบสู่เส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

"ด่านโหย่วอี้กวาน" (Youyiguan Border / 友谊关) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ด่านมิตรภาพ" เป็นหนึ่งใน 9 ด่านหลักของประเทศจีน และได้รับสมญาว่า “ประตูทางใต้ของจีน” เป็นจุดผ่านแดนทางบกระหว่างจีนกับเวียดนามที่มีทั้งความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ตั้งอยู่ในอำเภอระดับเมืองผิงเสียง เมืองฉงจั่ว

ซึ่งด่านมิตรภาพแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเป็นสถานที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์จีนหลายครั้ง

ยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) ด่านนี้ถูกสร้างขึ้นและได้รับชื่อว่า "เจิ้นหนานกวาน" ซึ่งแปลตรงตัวว่า "ด่านปราบปรามแดนใต้" สะท้อนถึงมุมมองของจักรวรรดิจีนที่มีต่อดินแดนทางใต้ในขณะนั้น

สมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368–1644) ด่านแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นและได้รับชื่อว่า "เจิ้นหนานกวาน" ซึ่งมีความหมายว่า "ด่านปราบปรามแดนใต้" สะท้อนมุมมองของจักรวรรดิจีนที่ต้องการควบคุมดินแดนตอนใต้ในยุคนั้น

สมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน (ค.ศ. 1953) หลังการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ชื่อด่านถูกเปลี่ยนเป็น "มู่หนานกวาน" ซึ่งมีความหมายในเชิงประนีประนอมมากขึ้นว่า "ด่านปรองดองแดนใต้"

ยุคสงครามเวียดนาม (ค.ศ.1965) ชื่อของด่านถูกเปลี่ยนอีกครั้งเป็น "โหย่วอี้กวาน" หรือ "ด่านมิตรภาพ" ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างจีนคอมมิวนิสต์กับเวียดนามเหนือในเวลานั้น

ทั้งนี้ ชื่อ "เจิ้นหนานกวาน" จะถูกสลักทางฝั่งที่หันหน้าเข้าสู่ประเทศจีน ส่วนชื่อ "โหย่วอี้กวาน" จะสลักอยู่อีกด้านหนึ่งที่หันหน้าไปทางเวียดนาม

เหตุการณ์สำคัญที่สุดทางประวัติศาสตร์ของด่านนี้คือ ยุทธการที่ด่านเจิ้นหนานกวาน ในช่วง สงครามจีน-ฝรั่งเศส เมื่อ ค.ศ. 1885 เมื่อกองทัพจีนแห่งราชวงศ์ชิง ปะทะกับกองทัพฝรั่งเศส โดยกองทัพฝรั่งเศสภายใต้การนำของนายพล ฟร็องซัว เดอ เนกริเย พยายามบุกทะลวงด่านนี้เพื่อเข้าสู่มณฑลกวางสีของจีน

ทางกองทัพจีน ที่นำโดยขุนพล เฝิง จื่อไฉ ซึ่งในขณะนั้น มีอายุ 67 ปี และถูกเรียกตัวกลับมารับราชการ ได้นำทหารจีนบุกเข้าปะทะกับทหารฝรั่งเศสด้วยตนเองอย่างกล้าหาญ การจู่โจมนี้สร้างขวัญกำลังใจให้กองทัพจีนอย่างมหาศาล

ในที่สุดกองทัพฝรั่งเศสพ่ายแพ้ ถูกบังคับให้ล่าถอยกลับไปยังเมืองหลั่งเซิน ในเวียดนาม ถือเป็นหนึ่งในชัยชนะทางบกที่ยิ่งใหญ่และชัดเจนที่สุดของจีนเหนือกองกำลังชาติตะวันตกในศตวรรษที่ 19

แม้ว่าจีนจะได้รับชัยชนะในสมรภูมินี้ แต่ผลของสงครามโดยรวมก็นำไปสู่การลงนามใน "สนธิสัญญาเทียนจิน" ซึ่งจีนจำต้องยอมรับว่าเวียดนามเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส

ในปัจจุบัน ด่านมิตรภาพได้แปรเปลี่ยนจากสมรภูมิรบในอดีต มาเป็นหนึ่งในจุดผ่านแดนทางบกที่สำคัญและพลุกพล่านที่สุดระหว่างจีนและเวียดนาม และอาเซียน

ตัวอาคารด่าน และป้อมปราการโดยรอบ ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมและเรื่องราวทางสงครามในอดีต พร้อมสัมผัสบรรยากาศแห่งมิตรภาพระหว่างสองชาติ

แหล่งท่องเที่ยวและแหล่งศึกษาทางโบราณคดีที่สำคัญเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกว่างซี ซึ่งไม่เพียงแต่มีคุณค่าในด้านความงามของธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงรากเหง้าและความรุ่งเรืองของอารยธรรมจีนในอดีตได้อย่างชัดเจน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงยังมีสถานที่ทางวัฒนธรรมอีกมากมาย ทั้งโบราณสถาน เมืองเก่า ศิลปะหิน และพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ที่รอให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้ ค้นหา และสัมผัสเรื่องราวของผู้คนในอดีตกาลที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษสู่คนรุ่นปัจจุบัน

อ่านข่าว :

"ด่านรถไฟผิงเสียง-โหย่วอี้กวาน" รุกโลจิสติกส์ ประตูเศรษฐกิจผลไม้ไทยสู่ตลาดจีน

"คลองผิงลู่" ทางลัดสู่ทะเลในกว่างซี ประตูโอกาสสินค้าจีน-อาเซียน

"อ่าวเป่ยปู้" ท่าเรืออัจฉริยะศูนย์กลางโลจิสติกส์การค้าทางบก-ทะเล เชื่อมจีนกับอาเซียน