ถือเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน สำหรับ “วันอาสาฬหบูชา” โดยในปี 2568 วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 Thai PBS ชวนทำความเข้าใจ ความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา ตลอดจนหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญนี้ร่วมกัน
“วันอาสาฬหบูชา" การปฐมเทศนาและกำเนิดพระสงฆ์องค์แรก
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันประวัติศาสตร์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกแก่มนุษยชาติ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี หลังจากที่พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว 49 วัน การแสดงธรรมครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากเป็นการเทศนากัณฑ์แรกของพระองค์ จึงได้รับการขนานนามว่า "ปฐมเทศนา" ซึ่งแปลว่า "การเทศนาครั้งแรก" หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" ที่หมายถึง "การหมุนวงล้อแห่งธรรม"
การเทศนาครั้งประวัติศาสตร์ในวันอาสาฬหบูชานี้มิใช่เพียงแค่การสื่อสารธรรมะธรรมดา แต่เป็นการเปิดประตูแห่งปัญญาที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงเลือกปัญจวัคคีย์ ซึ่งเป็นนักบวชทั้ง 5 องค์ที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกับพระองค์มาก่อน เป็นผู้ฟังครั้งแรกในวันอาสาฬหบูชา เนื่องจากทั้ง 5 องค์มีบุญบารมีและความพร้อมที่จะรับฟังและเข้าใจธรรมะอันลึกซึ้ง
การบรรลุธรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะใน“วันอาสาฬหบูชา"
ในวันอาสาฬหบูชาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนานั้น เหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ได้เกิดขึ้น ขณะที่พระองค์ทรงแสดงหลักอริยสัจสี่ มัชฌิมาปฏิปทา และอริยอัฏฐังคิกมรรคอยู่นั้น ท่านโกณฑัญญะ หรือที่เรียกกันว่า อัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นหัวหน้าและเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มปัญจวัคคีย์ ได้มีปัญญาเข้าใจในสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันอาสาฬหบูชาอย่างลึกซึ้ง
ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้เกิด"ธรรมจักษุ"หรือดวงตาเห็นธรรมขึ้นในวันอาสาฬหบูชา หมายถึงการมีปัญญาเห็นความจริงของธรรมชาติอย่างชัดเจน การบรรลุนี้ทำให้ท่านได้รับการยอมรับว่าเป็น"โสดาบัน"หรือผู้ที่เข้าใจและเห็นธรรมในระดับแรก ซึ่งเป็นขั้นแรกของการบรรลุธรรมใน 4 ขั้น นับเป็นเหตุการณ์สำคัญในวันอาสาฬหบูชาที่ทำให้ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น"ปฐมสาวก" หรือ "สาวกองค์แรก" ของพระพุทธเจ้า
พระดำรัสที่ยืนยันการบรรลุธรรม
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าท่านอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุความเข้าใจในธรรมแล้วในวันอาสาฬหบูชา พระองค์ได้ตรัสยืนยันการบรรลุนี้ด้วยพระดำรัสที่ล้ำลึกและเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือ
"ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ"
พระดำรัสนี้มีความหมายว่า "สิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา"
คำสอนข้อนี้เป็นการสรุปแก่นแท้ของหลัก"อนิจจตา" หรือความไม่เที่ยง ซึ่งเป็นหนึ่งในไตรลักษณ์ของสรรพสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันอาสาฬหบูชา พระดำรัสนี้ชี้ให้เห็นว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งของ ความคิด ความรู้สึก หรือแม้แต่ความทุกข์และความสุข ล้วนแล้วแต่มีกฎธรรมชาติที่จะต้องเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไปในที่สุด
การที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเข้าใจหลักธรรมนี้ในวันอาสาฬหบูชา หมายความว่าท่านได้เห็นความจริงของการเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้ท่านไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ และสามารถดำเนินชีวิตด้วยปัญญาที่เข้าใจความเป็นจริงของสรรพสิ่ง
การอุปสมบทครั้งแรกในประวัติศาสตร์ใน“วันอาสาฬหบูชา"
หลังจากที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุเป็นโสดาบันแล้ว เหตุการณ์สำคัญอีกประการหนึ่งได้เกิดขึ้นในวันอาสาฬหบูชา นั่นคือ การอุปสมบทครั้งแรกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ท่านอัญญาโกณฑัญญะได้ทูลกราบทูลขอพระพุทธเจ้าให้ประทานการอุปสมบท เพื่อเป็นสาวกและสืบทอดพระธรรมคำสอนที่ทรงแสดงในวันอาสาฬหบูชา
พระพุทธเจ้าทรงเห็นความจริงใจและความพร้อมของท่าน จึงได้ประทานอนุญาตด้วยพระดำรัสที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ คือ
"เอหิภิกขุ อุปสัมปทา"
ซึ่งแปลว่า "มาเถิด ภิกษุ ท่านได้บรรลุการอุปสมบทแล้ว"
พระดำรัสนี้เป็นการอุปสมบทรูปแบบแรกที่เรียกว่า "เอหิภิกขุปสัมปทา" หรือ "การอุปสมบทด้วยการเรียกมา" ซึ่งเป็นวิธีการอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในยุคแรกๆ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสพระดำรัสนี้แล้วในวันอาสาฬหบูชา ท่านอัญญาโกณฑัญญะก็กลายเป็นพระภิกษุโดยทันที
การอุปสมบทของท่านอัญญาโกณฑัญญะในวันอาสาฬหบูชามีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากท่านได้กลายเป็น"พระสงฆ์องค์แรก" ในพระพุทธศาสนา การเกิดขึ้นของพระสงฆ์องค์แรกนี้ทำให้พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบถ้วนเป็นครั้งแรก ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงพระพุทธเจ้า (พระพุทธ) และพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง (พระธรรม) เท่านั้น แต่เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะได้อุปสมบทแล้ว จึงมี "พระสงฆ์" เกิดขึ้น ทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ทั้ง 3 และกลายเป็นศูนย์กลางของการเคารพบูชาในพระพุทธศาสนาตั้งแต่นั้นมา
วันอาสาฬหบูชาจึงเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณอย่างยิ่ง เป็นวันที่พระพุทธศาสนาได้เริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่พระธรรมคำสอนไปสู่โลกมนุษย์ ซึ่งต่อมาได้แผ่ขยายไปทั่วโลกและคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ธรรมะสำคัญใน"วันอาสาฬหบูชา"
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรก คือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งในปฐมเทศนาครั้งประวัติศาสตร์นี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ 3 ประการ ที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ได้แก่ อริยสัจสี่ มัชฌิมาปฏิปทา และอริยอัฏฐังคิกมรรค
อริยสัจสี่ - ความจริงอันประเสริฐ
ในวันอาสาฬหบูชาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา พระองค์ได้ทรงเปิดเผยความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ที่เรียกว่า "อริยสัจสี่" ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของพระพุทธศาสนา
1. ทุกขสัจ - ความจริงเรื่องทุกข์
ความจริงข้อแรกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันอาสาฬหบูชา คือ การยอมรับว่าชีวิตมีทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่ต้องการ และทุกข์จากการไม่ได้ดั่งใจปรารถนา
2. สมุทยสัจ - ความจริงเรื่องเหตุของทุกข์
ในวันอาสาฬหบูชา พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ทุกข์มีสาเหตุ คือ "ตัณหา" หรือความกระหายใคร่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ กามตัณหา (ความกระหายในกาม) ภวตัณหา (ความกระหายในการเป็นไปต่างๆ) และวิภวตัณหา (ความกระหายในการดับสูญ)
3. นิโรธสัจ - ความจริงเรื่องการดับทุกข์
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศข่าวดีว่า ทุกข์สามารถดับได้ เมื่อดับตัณหาแล้ว ทุกข์ก็จะดับตามไปด้วย สภาวะนี้เรียกว่า "นิพพาน" ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนิกชน
4. มรรคสัจ - ความจริงเรื่องหนทางดับทุกข์
ในวันอาสาฬหบูชา พระพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ คือ "อริยอัฏฐังคิกมรรค" หรือมรรค 8 ซึ่งเป็นหนทางอันประเสริฐที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้
มัชฌิมาปฏิปทา - ทางสายกลาง
หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจสี่ในวันอาสาฬหบูชาแล้ว พระองค์ได้ทรงเน้นย้ำถึงหลักการปฏิบัติที่สำคัญ คือ "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่หลีกเลี่ยงความสุดโต่ง 2 ทาง คือ
1. กามสุขัลลิกานุโยค
- การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย
- ไม่มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
- ไม่หลงเพลิดเพลินในกามสุขเกินควร
- ไม่ใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย ประมาทในกิเลส
2. อัตตกิลมถานุโยค
- การทรมานตนเองโดยไม่จำเป็น
- ไม่สร้างความลำบากแก่ตนเองโดยไม่มีเหตุผล
- ไม่ดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกายใจ
- ไม่ใช้วิธีการที่รุนแรงเกินไปในการปฏิบัติธรรม
ในวันอาสาฬหบูชา พระพุทธเจ้าทรงเน้นว่า หัวใจสำคัญของทางสายกลาง คือ การดำเนินชีวิตด้วย "ปัญญา" ซึ่งหมายถึง การมีสติปัญญาในการพิจารณาและตัดสินใจ การรู้จักสมดุลในการดำเนินชีวิต และการเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งตามความเป็นจริง โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า "มรรค 8 ประการ"เพื่อเป็นหนทางปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ในพระพุทธศาสนา
"อริยอัฏฐังคิกมรรค" หรือที่เรียกกันว่า "มรรค 8 ประการ"
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางอันประเสริฐที่นำไปสู่การดับทุกข์ คือ "อริยอัฏฐังคิกมรรค" หรือมรรค 8 ประการ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของมัชฌิมาปฏิปทา แบ่งออกเป็นหัวใจของมรรค 8 ประการทั้ง 3 หมวด คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
หมวดปัญญา (ปัญญาสิกขา)
1. สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ
ในวันอาสาฬหบูชา พระพุทธเจ้าทรงแสดงความสำคัญของการมีความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ได้แก่
- เข้าใจกฎแห่งกรรม การกระทำและผลของการกระทำ
- เข้าใจอริยสัจสี่ ความจริงเรื่องทุกข์และทางออกจากทุกข์
- เข้าใจไตรลักษณ์ ว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน
2. สัมมาสังกัปปะ - ความดำริชอบ
วันอาสาฬหบูชาสอนให้เราคิดสุจริต คิดในทางที่ถูกต้อง ประกอบด้วย
- การคิดปรารถนาดี มีเมตตาต่อสรรพสัตว์
- การคิดไม่เบียดเบียนผู้อื่น
- การคิดสละ ไม่ยึดติดในสิ่งต่างๆ
หมวดศีล (ศีลสิกขา)
3. สัมมาวาจา - การเจรจาชอบ
ในวันอาสาฬหบูชา พระพุทธเจ้าทรงเน้นความสำคัญของการพูดจาที่ดีงามด้วยการเว้นดังต่อไปนี้
- เว้นจากการพูดเท็จ พูดความจริงเสมอ
- เว้นจากการพูดคำหยาบคาย ใช้ถ้อยคำที่นุ่มนวล
- เว้นจากการพูดส่อเสียด ไม่นินทาใส่ร้าย
- เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์
4. สัมมากัมมันตะ - การกระทำชอบ
วันอาสาฬหบูชาสอนให้เรากระทำในสิ่งที่สุจริต ตามหลักการกระทำชอบดังนี้
- งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ มีเมตตาต่อสิ่งมีชีวิต
- งดเว้นจากการลักทรัพย์ ซื่อสัตย์ในทรัพย์สิน
- งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม รักษาความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์
5. สัมมาอาชีวะ - การเลี้ยงชีพชอบ
ในวันอาสาฬหบูชา พระพุทธเจ้าทรงสอนให้หาเลี้ยงชีพในทางที่สุจริตด้วยการที่
- ไม่ประกอบอาชีพที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
- ไม่ประกอบอาชีพที่ผิดศีลธรรม
- หาเลี้ยงชีพด้วยความขยันขันแข็ง และซื่อสัตย์
หมวดสมาธิ (สมาธิสิกขา)
6. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ
วันอาสาฬหบูชาสอนให้เราเพียรพยายามในทางที่ถูกต้อง ได้แก่
- เพียรป้องกันอกุศลที่ยังไม่เกิดให้ไม่เกิดขึ้น
- เพียรละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป
- เพียรทำให้กุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
- เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญก้าวหน้า
7. สัมมาสติ - การระลึกชอบ
ในวันอาสาฬหบูชา พระพุทธเจ้าทรงแสดงความสำคัญของการมีสติ ด้วยการดำเนินสติดังนี้
- สติในการดูแลร่างกาย รู้เท่าทันกิจกรรมต่างๆ
- สติในการรู้จักเหตุผลและความรู้สึก
- สติในการรู้จักสภาวะของจิตใจ
- สติในการพิจารณาธรรมะและสิ่งต่างๆ
8. สัมมาสมาธิ - ความตั้งใจมั่นชอบ
วันอาสาฬหบูชาสอนให้เราควบคุมจิตใจให้แน่วแน่ โดย
- ฝึกจิตให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน
- พัฒนาสมาธิให้มีความเข้มแข็ง
- ใช้จิตที่มีสมาธิในการพัฒนาปัญญา
- บรรลุถึงฌาน หรือสภาวะจิตที่สูงขึ้น
“วันอาสาฬหบูชา” และความเข้าใจใน “อัฏฐังคิกมรรค”
ธรรมะสำคัญในวันอาสาฬหบูชา คือ มรรค 8 หรือ อัฏฐังคิกมรรค ซึ่งเปรียบเป็นทางเอกที่มีสายเดียวหากแต่มีเงื่อนไขในทางปฏิบัติ 8 ข้อ ที่ต้องปฏิบัติควบกันให้สมบูรณ์ จึงจะได้ผลเต็มที่ เปรียบไปคล้ายกับถนนสายหนึ่ง ที่มีส่วนประกอบ 8 อย่าง เช่น พื้นถนน ผิวถนน ขอบถนน ไหล่ถนน ทางเท้า คูระบายน้ำ ฯลฯ สิ่งประกอบเหล่านี้ ล้วนรวมกันแล้วเป็นถนนสายเดียวนั่นเอง
มรรค 8 ถือเป็นแม่บทแห่งการปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับ รวมทั้งในบรรดาหลักธรรมปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ล้วนแต่เป็นส่วนขยายของมรรค 8 หรืออาจกล่าวได้ว่า คำสั่งสอนของพุทธศาสนา ล้วนรวมลงในมรรค 8 ทั้งสิ้น
วันอาสาฬหบูชาจึงเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานธรรมะอันประเสริฐแก่โลก ทั้งอริยสัจสี่ที่เป็นความจริงพื้นฐานของชีวิต มัชฌิมาปฏิปทาที่เป็นหลักการดำเนินชีวิต และอริยอัฏฐังคิกมรรคที่เป็นหนทางนำไปสู่ความหลุดพ้น ธรรมะเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นหลักการทางศาสนา แต่ยังเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่นำไปสู่ความสุขและความสงบที่แท้จริง การศึกษาและปฏิบัติตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันอาสาฬหบูชา จะช่วยให้เราเข้าใจชีวิตในแง่มุมที่ลึกซึ้งขึ้น และสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีสติปัญญา สมดุล และเป็นสุข
กิจกรรมใน “วันอาสาฬหบูชา”
กิจกรรมในวันอาสาฬหบูชาแบ่งออกเป็นกิจกรรมของพระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชน โดยพระภิกษุสงฆ์ในวัด เตรียมจัดกิจกรรมที่วัด รวมถึงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตามที่พระพุทธเจ้าเคยแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ ส่วนพุทธศาสนิกชน มีกิจกรรมที่ปฏิบัติ คือ
- ทำบุญ ตักบาตร ถวายสังฆทาน
- รักษาศีล งดการทำบาป หรือให้ทาน
- เข้าวัดฟังธรรมสวดมนต์
- เวียนเทียนรอบอุโบสถในเวลาเย็น เพื่อน้อมระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และยังช่วยชำระล้างจิตใจให้ผ่องใส
“วันอาสาฬหบูชา” เรื่องน่ารู้กิจกรรมเวียนเทียน
วันอาสาฬหบูชา นอกจากในช่วงเช้าจะไปทำบุญ ไหว้พระ ในช่วงเย็น หลายคนมักเดินทางไปประกอบกิจกรรมเวียนเทียนที่วัด ส่วนใหญ่นิยมไปเวียนเทียนช่วงเวลา 16.00 - 20.00 น. แต่ปัจจุบัน วัดหลายแห่งมีการขยับเวลาการเวียนเทียนเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พุทธศาสนิกชนมากขึ้น บางวัดเปิดให้เข้ามาเวียนเทียนได้ตั้งแต่ช่วงเช้า 06.00 น. เป็นต้นไป
สิ่งที่ควรปฏิบัติขณะเวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชา
1. เมื่อเริ่มเวียนเทียนให้สำรวม กาย วาจา ใจ
2. รักษาระยะห่างการเดินให้ห่างจากคนข้างหน้า ไม่ให้ความร้อนจากธูป เทียน เป็นอันตรายต่อผู้อื่น
3. เดินเวียนเทียนอย่างเป็นระเบียบ ไม่เดินแซงกัน ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป
4. ไม่พูดคุย หยอกล้อ ส่งเสียงรบกวนผู้อื่นขณะเวียนเทียน
5. เจริญจิตภาวนาระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ
6. หลังจากเวียนเทียนครบ 3 รอบ ให้นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปวางและปักบูชาในที่ที่จัดเตรียมไว้
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสพัฒนาตนเองตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นแนวทางที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ ทั้งนี้ทุกคนในโลก ล้วนแต่มีความทุกข์ เหมือนคนป่วยที่ไม่รู้ว่าป่วยจากสาเหตุอะไร หรือจะรักษาให้หายป่วยหายทุกข์ได้อย่างไร
การศึกษาให้เข้าใจในเรื่องอริยสัจ 4 จึงเป็นหนทางที่จะทำให้รู้จักทุกข์ พร้อมวิธีปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ จนสามารถดับทุกข์ที่มีอยู่ได้อย่างแท้จริง
อ่านข่าว - รวมคำบูชา - คำถวาย พิธีทางพระ ในวันสำคัญทางศาสนา
อ้างอิง - จากเว็บไซต์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ