เรามักจะมีภาพจำว่า ชีวิตของวินเซนต์ แวน โก๊ะ จิตรกรชาวดัตช์ เต็มไปด้วยความสิ้นหวังจนทำให้เขาจบชีวิตตัวเองก่อนวัยอันควร ใช้เวลาหลายปีกว่าที่ภาพวาดของเขาจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
คำเตือน: บทความต่อไปนี้พูดถึงปัญหาทางจิตและการฆ่าตัวตาย
อาจกล่าวได้ว่า ภาพวาดหลายชิ้นของแวน โก๊ะ (Vincent van Gogh) นั้น “ติดตา” และสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้ผู้ชม โดยเฉพาะ ‘The Starry Night’ หรือ ‘ราตรีประดับดาว’ ที่แวน โก๊ะวาดขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1889 ขณะที่เขาอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชในคอมมูนแซงต์เรมี (Saint-Rémy) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส The Starry Night ทำให้แวน โก๊ะกลายเป็นไอคอนของศิลปินลัทธิประทับใจยุคหลัง (Post-Impressionism) และส่งอิทธิพลให้เกิดศิลปะแนวแสดงพลังอารมณ์ (Expressionism) ช่วงต้นศตวรรษที่ 20
![The Starry Night เวอร์ชันที่ทุกคนคุ้นตา ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ The Museum of Modern Art ในนิวยอร์ก [เครดิต: Vincent van Gogh, The Starry Night, Saint Rémy, June 1889, MoMA]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/W1si_Zi_Is_Ij_Q2_Nz_Ux_Ny_Jd_L_Fsic_C_Is_Im_Nvbn_Zlcn_Qi_LC_Itc_X_Vhb_Gl0e_SA_5_MC_Atcm_Vza_Xpl_ID_Iw_MDB_4_MTQ_0_M_Fx1_MD_Az_ZS_Jd_XQ_a457ba4c9d.jpg)
![La Nuit étoilée หรือ The Starry Night อีกเวอร์ชันหนึ่งซึ่งวาดในปี 1888 ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Musée d’Orsay ในปารีส [ภาพโดยผู้เขียน เมื่อปี 2022]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/S_184901634_b6b358bc48.jpg)
จริงอยู่ที่ว่า ชีวิตของแวน โก๊ะทั้งเจ็บปวดและขมขื่น แต่แท้จริงแล้ว เรื่องราวและภาพวาด “ที่เราคุ้นเคย” นั้นเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีสุดท้ายในชีวิตของเขา แล้วเบื้องหลังภาพวาดและชั่วชีวิตของแวน โก๊ะล่ะ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกัน ?
ความหลงใหลในภาพวาดและจุดพลิกผันของแวน โก๊ะ
![ภาพวาดเหมือนตัวเองของแวน โก๊ะชิ้นหนึ่ง คาดว่าวาดขึ้นระหว่างเดือน ธ.ค. 1887 – ก.พ. 1888 [เครดิต: Self-Portrait as a Painter, Vincent van Gogh, Paris, D, ecember 1887-February 1888, Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/vangoghmuseum_s0022_V1962_800_11e5bb57c1.jpg)
วินเซนต์ แวน โก๊ะ ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 1853 ในครอบครัวศาสนาจารย์นิกายโปรเตสแตนต์ ที่เมืองซึนเดิร์ต (Zundert) ก่อนหน้านั้น 1 ปีพอดิบพอดี ครอบครัวแวน โก๊ะ ได้ให้กำเนิดลูกชายชื่อ ‘วินเซนต์’ แต่ตายคลอดไปเสียก่อน เมื่อคลอดลูกชายคนที่ 2 ครอบครัวก็ตั้งชื่อ ‘วินเซนต์’ ให้ ‘วินเซนต์ แวน โก๊ะ’ คนที่เรารู้จัก เมื่อเติบโตมา แวน โก๊ะ ก็หลงใหลในธรรมชาติของเมืองบ้านเกิด ซึ่งฟูมฟักจิตวิญญาณความเป็นศิลปินภาพวาดของเขาด้วย
แม้จะเป็นเด็กเรียนดี แต่แวน โก๊ะกลับเรียนไม่จบและทิ้งการศึกษาไปดื้อ ๆ แม้จะมีช่วงหนึ่งที่ครอบครัวจะช่วยแวน โก๊ะเตรียมตัวสอบเทววิทยา (theology) แต่เจ้าตัวขาดระเบียบวินัยมากเสียจนญาติแนะนำว่า ไม่ต้องไปเรียนต่อหรอก แต่ขณะเดียวกัน แวน โก๊ะก็ได้ทำหลายสิ่งอย่าง ทั้งทำงานในบริษัทนายหน้าค้าภาพวาด ได้ไปลอนดอนและปารีส เป็นผู้ดูแลโรงเรียนในอังกฤษ และทำงานในร้านหนังสือ ที่สำคัญคือ เขาเกิดความศรัทธาในคริสต์ศาสนาและพระเจ้าอย่างมาก จนเคยเป็นนักเทศน์ฆราวาสในเหมืองเบลเยียม
![วินเซนต์ แวน โก๊ะ (ซ้าย) และธีโอ น้องชายของเขา [ภาพ: Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/gogh_26c87d0878.png)
จุดเปลี่ยนมาถึงในปี 1880 เมื่อธีโอ (Theo Van Gogh) น้องชายแท้ ๆ แนะนำให้แวน โก๊ะเอาดีด้านการเป็นศิลปินภาพวาดหลังจากเห็นภาพสเก็ตช์ที่พี่ชายส่งแนบมาให้ดูบ่อย ๆ ตัวแวน โก๊ะเองก็คิดได้ว่า ภาพวาดก็สามารถเป็นเครื่องมือรับใช้พระเจ้าได้เหมือนกัน เขาจึงตัดสินใจหันมาเป็นจิตรกรเต็มตัวแม้จะขัดใจครอบครัวก็ตาม หลังจากนั้น แวน โก๊ะก็ร่อนเร่ไปทั่วเนเธอร์แลนด์ ได้เรียนศิลปะและเทคนิคภาพวาดจากแอนทอน โมฟ (Anton Mauve) ศิลปินชื่อดังในกรุงเฮกและญาติของแวน โก๊ะ ได้อยู่กินกับซิน ฮูร์นิก (Sien Hoornik) อยู่พักหนึ่งแม้ครอบครัวจะไม่ปลื้มฮูร์นิก ด้วยปูมหลังที่เธอเคยเป็นโสเภณีมาก่อน
หลังรักร้าว แวน โก๊ะก็ย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่เมืองนูแนน (Nuenen) ซึ่งเป็นเขตชนบทและเกษตรกรรม ในช่วงนี้ ผลงานของแวน โก๊ะไม่ได้มีสีสันและลายเส้นพลิ้วไหวอย่างที่เราจดจำได้จาก The Starry Night แต่ภาพวาดของเขาใช้สีโทนมืดและดู “ติดดิน” เห็นได้ชัดจากภาพวาด ‘The Potato Eaters (คนกินมันฝรั่ง)’ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริงอันยากลำบากของชาวนาชาวไร่ในชนบท อย่างไรก็ตาม ภาพวาดเช่นนี้ไม่ใช่งานที่จะ “ขายออก” ในยุคที่ผู้เสพงานศิลปะจะชื่นชอบมากนัก – โดยเฉพาะในฝรั่งเศส
![ภาพวาดคนกินมันฝรั่ง [เครดิต: Vincent van Gogh, The Potato Eaters, Nuenen, April-May 1885, Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/vangoghmuseum_s0005_V1962_800_84914554c3.jpg)
ตลอดเวลาหลายปีที่แวน โก๊ะ พเนจรและใช้ชีวิตกับภาพวาด ผู้เป็นน้องอย่างธีโอก็คอย “ให้เงิน” ช่วยเหลือเขาตลอด และทั้ง 2 ก็มักจะเขียนจดหมายแลกเปลี่ยนกัน ทำให้แวน โก๊ะสนิทกับธีโอมากที่สุดในบรรดาน้องชายน้องสาวทั้ง 5 คนของเขา หลังจากที่แวน โก๊ะ มาเรียนศิลปะในเบลเยียมได้ไม่นาน เขาก็ย้ายไปกรุงปารีสแบบปุบปับเพื่อได้อยู่ใกล้ธีโอ – ที่ทำงานในบริษัทนายหน้าค้าผลงานศิลปะ – ในเดือนกุมภาพันธ์ 1886 นับเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบในชีวิตแวน โก๊ะแบบกลาย ๆ
ภาพวาด ฟ้าฝน ทุ่งข้าว และโศกนาฏกรรมอันลือลั่นของแวน โก๊ะ
ในเมืองแห่งน้ำหอมของฝรั่งเศส ธีโอได้ช่วยเปิดโลกศิลปะสมัยใหม่ (modern art) ให้แวน โก๊ะ ยุคนั้น โคลด โมเนต์ (Claude Monet) เป็นผู้นำศิลปะลัทธิประทับใจ (Impressionism) ภาพวาดของโมเนต์ส่วนใหญ่มีสีสันสดใสและจับความเป็นไปของโลกภายนอก (outdoor หรือ plein air ในภาษาฝรั่งเศส) แนวทางการสร้างผลงานของแวน โก๊ะจึงเปลี่ยนไป เขาใช้สีสันที่สว่างขึ้น ใช้เทคนิคปัดแปรงสีแบบสั้น ๆ (short brush strokes) และลองวาดภาพเหมือนตนเอง (portrait) ซึ่งกำลังได้รับความสนใจในเชิงพาณิชย์
ปารีสยังทำให้แวน โก๊ะ ค้นพบแรงบันดาลใจจากภาพพิมพ์แกะไม้ญี่ปุ่น (Japanese woodcuts) ไม่เพียงแต่เขากับธีโอจะร่วมกันสะสมผลงานเหล่านี้ แต่แวน โก๊ะยังเรียนรู้การตัดโทนสีและการจัดวางองค์ประกอบ จนได้ออกมาเป็นผลงาน ‘Bridge in the Rain (after Hiroshige)’ หรือ ‘สะพานท่ามกลางสายฝน’ ที่เลียนแบบมาจากงานของฮิโระชิเงะ (Utagawa Hiroshige) จิตรกรอุคิโยะเอะผู้มีชื่อเสียงในสมัยเอโดะ ไม่เพียงแต่จะได้เทคนิคภาพวาดติดตัว แต่แรงบันดาลใจเช่นนี้ยังทำให้แวน โก๊ะอยากกลับออกไปเห็นธรรมชาติอีกครั้ง เดือนกุมภาพันธ์ 1888 เขาจึงเดินทางไปยังแคว้นโพรวองซ์ (Provence) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส
![ผลงานสะพานท่ามกลางสายฝนที่แวน โก๊ะได้แรงบันดาลใจจากศิลปะญี่ปุ่น [เครดิต: Vincent van Gogh, Bridge in the Rain (after Hiroshige), Paris, October-November 1887, Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/vangoghmuseum_s0114_V1962_800_1_5d936fc2e1.jpg)
แวน โก๊ะมีแผนการที่จะสร้าง ‘อาณานิคมศิลปิน (artists’ colony)’ ที่รวบรวมศิลปินมาทำงานด้วยกัน จนเขาเช่าบ้านและเชิญพอล โกแก็ง (Paul Gauguin) เพื่อนศิลปินมาเป็นคนแรก (และคนสุดท้าย) โดยที่ธีโอออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ตามเคย การทำงานระหว่างศิลปินทั้งสองดูเหมือนจะโปรดักทีฟ แต่มุมมองและวิธีการของพวกเขาต่างกันลิบลับ โกแก็งรังสรรค์ภาพวาดจากจินตนาการ ขณะที่แวน โก๊ะวาดสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งตึงเครียด วันหนึ่ง ทั้งคู่ทะเลาะกันหนักจนแวน โก๊ะกรีดหูตัวเอง “ส่วนหนึ่ง” ออกมา แต่ก็มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่ว่า โกแก็งต่างหากที่เป็นคนกรีดหูแวน โก๊ะด้วยดาบ
![โรงพยาบาลจิตเวช Saint-Paul de Mausole ในฝรั่งเศสที่แวน โก๊ะเคยเข้ารักษาตัว ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์และสถานที่จัดเวิร์กชอปศิลปะบำบัด [ภาพ: Nicolas Tucat/AFP]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/AFP_20240612_34_W8983_v1_High_Res_France_History_Tourism_Leisure_Painting_Health_e8a2b1d895.jpg)
ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือ หูของแวน โก๊ะก็ไม่ได้ขาดไปทั้งใบ ปลายปี 1888 โกแก็งเดินทางออกจากโพรวองซ์พร้อมธีโอที่มาเยี่ยมพี่ชาย ส่วนแวน โก๊ะเองก็ออกจากโรงพยาบาลตอนต้นเดือนมกราคม 1889 โดยที่จำเหตุการณ์เกี่ยวกับหูตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ผลกระทบที่ชัดเจนคือ สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่ลงจนเจ้าตัวเอง “สมัครใจ” ไปโรงพยาบาลจิตเวชในคอมมูนแซงต์เรมีเอง ระหว่างการรักษา แวน โก๊ะสร้างผลงานภาพวาดไปถึง 150 ชิ้น ขณะที่อาการป่วยของเขาอยู่ในภาวะ “ผีเข้าผีออก” แต่ก็พอจะมีเรื่องดี ๆ อยู่บ้าง เช่น ธีโอแต่งงานมีลูก ภาพวาด 6 ชิ้นของแวน โก๊ะได้จัดแสดงในกรุงบรัสเซลส์ และภาพ ‘The Red Vineyard (ไร่องุ่นแดง)’ ขายออก
![ภาพไร่องุ่นแดง ภาพเดียวที่ขายออกเมื่อแวน โก๊ะยังมีชีวิตอยู่ [เครดิต: Vincent van Gogh, The Red Vineyard, 1888, Pushkin Museum of Fine Arts, Moscow via Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/8dcc0e42_7f19_491f_87c1_ebce180ab1cb_394a557f65.jpg)
พฤษภาคม 1890 หรือ 1 ปีหลังจากที่อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช แวน โก๊ะก็ย้ายขึ้นมาอยู่ที่คอมมูนโอแวร์ซูร์รัวซ์ (Auvers-Sur-Oise) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงปารีสไม่มากนัก ที่นั่น เขาได้พบกับคุณหมอกาเชร์ (Paul Gachet) ผู้ชอบวาดภาพ แวน โก๊ะจึงมีทั้งเพื่อนและหมอใกล้ตัว แต่ฉากสุดท้ายในชีวิตแวน โก๊ะก็มาถึง ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 1890 เขาไปเยี่ยมครอบครัวของธีโอในเมืองหลวง แล้วรู้ว่าน้องชายจะตั้งกิจการของตัวเอง หมายความว่า อนาคตทางการเงินของธีโอจะไม่แน่นอนดั่งเดิม
![Auberge Ravoux ที่พักแรมในฝรั่งเศสช่วง 70 วันสุดท้ายในชีวิตของแวน โก๊ะ [ภาพ: Bertrand Guay/AFP]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/AFP_20230923_33_W236_W_v1_High_Res_France_Culture_Arts_Van_Gogh_99b1745361.jpg)
แวน โก๊ะที่พึ่งพาน้องชายมาตลอดนั้นเกิดทั้งความกังวลและความละอายใจ ซ้ำยังอาจเครียดเพราะทะเลาะกับหมอการเชร์ด้วย ทำให้เขาล้มป่วยอีกครั้ง ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ เขาวาดรูปทุ่งข้าวสาลีที่สื่อบรรยากาศอันแสน “เศร้าหมองและโดดเดี่ยวสุดใจ (sadness, extreme loneliness)” แต่ก็อยากบอกว่าตัวเองยังไหวด้วย เช่น ภาพวาด ‘Rain, Auvers (สายฝน, โอแวร์)’ ที่เขาวาดลายเส้นฝนเป็นเส้นตรงคล้ายกับภาพ ‘Bridge in the Rain’ หรือภาพวาด ‘Wheatfield with Crows (ทุ่งข้าวสาลีและฝูงอีกา)’ ที่มักจะเข้าใจผิดกันว่า เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา
![ภาพวาดสายฝน, โอแวร์ [เครดิต: Vincent van Gogh, Rain, Auvers, Auvers-sur-Oise, 1890, National Museum Cardiff, Cardiff]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/ACNMW_ACNMW_DA_000279_001_0a74b942c6.jpg)
![ภาพวาดทุ่งข้าวสาลีและฝูงอีกา ซึ่งเป็นผลงานชิ้นท้าย ๆ ในชั่วชีวิตของแวน โก๊ะ [เครดิต: Vincent van Gogh, Wheatfield with Crows, Auvers-sur-Oise, July 1890, Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/vangoghmuseum_s0149_V1962_800_dbb2351a8a.jpg)
27 กรกฎาคม 1890 ฉากทุ่งข้าวสาลีในภาพวาด กลายเป็นฉากปิดชีวิตของแวน โก๊ะ เขาตัดสินใจยิงตัวเองที่หน้าอก แต่ไม่เสียชีวิตทันที แวน โก๊ะจึงเดินกลับมาที่พักและสิ้นใจในวันที่ 29 กรกฎาคมของปีเดียวกัน ทิ้งภาพวาดและงานกว่า 2,150 ชิ้นไว้ เพียงครึ่งปีหลังจากนั้น ธีโอก็ป่วยหนักและตรอมใจจนเสียชีวิตในเดือนมกราคม 1781 โจ (Jo van Gogh-Bonger) ภรรยาม่ายของธีโอ เป็นผู้ย้ายศพของธีโอไปฝังไว้เคียงข้างแวน โก๊ะที่โวแวร์ และเธอยังทำให้พี่เขยโด่งดังไปทั่วโลก โจให้พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ยืมภาพวาดของแวน โก๊ะไปจัดแสดงจนได้รับความสนใจและมีผู้ซื้อมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งโจยังเผยแพร่จดหมายระหว่างแวน โก๊ะและธีโอเป็นครั้งแรกในปี 1914
![หลุมศพของแวน โก๊ะ และธีโอ [ภาพ: Bertrand Guay/AFP]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/AFP_20230923_33_W237_B_v1_High_Res_France_Culture_Arts_Van_Gogh_695c0140e3.jpg)
ชีวิตของแวน โก๊ะเต็มไปด้วยความผันผวนดั่งพายุฝนที่ทุ่งข้าวสาลี และเขาเองก็ตระหนักถึงเส้นทางชีวิตอันแสน “อาภัพ” แต่ก็ดูเหมือนว่า เขาเชื่อมั่นในผลงานภาพวาดทั้งหลายที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังนับล้าน คงจะไม่มีคำใดที่จะปิดท้ายบทความนี้ได้ดีเท่าคำพูดของแวน โก๊ะที่ส่งไปหาธีโอ เขียนที่คอมมูนอาร์ลส์ (Arles) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ลงวันที่ 25 ตุลาคม 1888
ฉันทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าภาพวาดของฉันขายไม่ออก แต่วันนั้นจะมาถึง วันที่ผู้คนจะเห็นว่า ผลงานพวกนั้นมีค่ามากกว่าต้นทุนที่พวกเราได้ลงไปกับสีและการประทังชีวิตอันขัดสนของฉัน
ติดตามเนื้อหาเกี่ยวกับ ‘ศิลปะ’ ผ่านมุมมองหลากหลายกับ Thai PBS NOW
- รู้จัก Art toy ของเล่นที่กลายเป็นเทรนด์ของคนรุ่นใหม่
- “ศิลป์ พีระศรี” คือใคร ? ทำไมได้รับยกย่องเป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย
- รวม “งานศิลปะ” ที่ทำให้เกิด “การตั้งคำถาม” จาก “แกลเลอรี” สู่ “ท้องถนน” ถึง “สนามหลวง”
อ้างอิง
- Art historians claim Van Gogh's ear 'cut off by Gauguin', The Guardian
- Bridge in the Rain (after Hiroshige), Van Gogh Museum
- The Starry Night, MoMA
- Rain, Auvers, Art UK
- Rain, Auvers: how a Van Gogh masterpiece got to Wales, Art UK
- Vincent's Life, 1853-1890, Van Gogh Museum
- Vincent van Gogh, Britannica
- Wheatfield with Crows, Van Gogh Museum
- พิพิธภัณฑ์ศิลปะโทะไคโดะ ฮิโระชิเงะ แห่งเมืองชิซุโอะกะ, Kanagawa Travel Info
เล่าอดีต บันทึกปัจจุบัน รอบรู้ทุกวัน กับ Thai PBS On This Day: www.thaipbs.or.th/OnThisDay
![ผู้เยี่ยมชมคนหนึ่งกำลังเดินผ่านภาพเหมือนตัวเองของแวน โก๊ะ ในนิทรรศการ Van Gogh: Poets and Lovers ที่ลอนดอนเมื่อปี 2024 [ภาพ: Henry Nicholls/AFP]](https://d3dyak49qszsk5.cloudfront.net/AFP_20240909_36_FT_6_WL_v1_High_Res_Britain_Culture_Art_Exhibition_2f7aa97ff0.jpg)