ข่าวการจับกุม พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ อยู่ในความสนใจของผู้คนในสังคม Thai PBS ชวนรู้ กรณีพระสงฆ์ที่ถูกดำเนินคดีอาญา ต้องมีขั้นตอนปฏิบัติ และมีเรื่องที่พึงรู้อะไรบ้าง ?
พระสงฆ์ กระทำความผิดทางอาญาในลักษณะใดได้บ้าง ?
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 45 บัญญัติว่า พระสงฆ์ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ รวมถึงไวยาวัจกร และกรรมการวัด ให้ถือว่าเป็น “เจ้าพนักงาน” ดังนั้น หากบุคคลในตำแหน่งดังกล่าวนี้ กระทำความผิดทางอาญา ให้ถือว่าเป็น “เจ้าพนักงาน” กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และต้องรับโทษเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่รัฐ
โดยลักษณะความผิดทางอาญา ที่หากพระสงฆ์กระทำ จะถือเป็นความผิด เช่น ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก ทำร้ายร่างกาย หรือฆ่าผู้อื่น รวมถึงคดีทางเพศ เช่น กระทำอนาจาร ข่มขืน และคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
นอกจากนี้ยังมีความผิดในกรณีทุจริตในองค์กรทางศาสนา อาทิ เบิกจ่ายเงินวัดผิดวัตถุประสงค์ ร่วมกับฆราวาสทุจริตโครงการบูรณะวัด สร้างวัตถุมงคลเพื่อหวังผลเชิงพาณิชย์ และอื่น ๆ เหล่านี้ถือเป็นความผิดทางอาญาของพระสงฆ์ ที่ต้องรับโทษตามกฎหมายเช่นเดียวกัน
กระบวนการดำเนินคดีอาญากับพระสงฆ์ มีขั้นตอนอย่างไร ?
เมื่อพระสงฆ์กระทำผิดทางอาญา ขั้นตอนการดำเนินคดี เป็นไปดังต่อไปนี้
1.ขั้นตอนการจับกุม การปฏิบัติเรื่องการจับกุม ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เฉกเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาทั่วไป โดยวิธีการจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83
- เจ้าพนักงานที่ทำการจับ ต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับว่า เขาต้องถูกจับ แล้วสั่งให้ผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ถูกจับ
- เจ้าพนักงานผู้เป็นผู้จับ ต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับรับทราบ และหากมีหมายจับ ให้แสดงต่อผู้ถูกจับให้ทราบด้วย
- ควรแจ้งต่อผู้ถูกจับว่า มีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้ และถ้อยคำของผู้ถูกจับ อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
- ผู้ถูกจับ มีสิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความ หรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความ ถ้าผู้ถูกจับประสงค์จะแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจทราบถึงการจับกุม สามารถดำเนินการได้ และไม่เป็นการขัดขวางการจับกุม
- กรณีผู้ถูกจับกุมเป็นพระสงฆ์ ให้ระลึกไว้เสมอว่า พระสงฆ์เป็นที่เคารพกราบไหว้ของพุทธศาสนิกชน การกระทำใด ๆ ต่อพระสงฆ์ จะต้องกระทำด้วยความเคารพ
- กรณีพระสงฆ์ถูกจับและถูกควบคุมตัวอยู่สถานีตำรวจโดยไม่ได้ขอปล่อยตัวชั่วคราว หรือพนักงานสอบสวนไม่อนุญาต พนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการเพื่อให้พระสงฆ์นั้น “สละสมณเพศ” ก่อนจะนำตัวไปเข้าสู่กระบวนการต่อไป
- กรณีที่พระสงฆ์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว สถานภาพความเป็นพระภิกษุยังคงอยู่ต่อไป เว้นแต่ฝ่ายคณะสงฆ์จะได้มีคำสั่งให้สละสมณเพศในระหว่างนั้น
2. ขั้นตอนการสอบสวน การสอบสวนพระสงฆ์ที่กระทำความผิดอาญา เหมือนการสอบสวนบุคคลธรรมดาโดยทั่วไป พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนพระสงฆ์ที่กระทำความผิดอาญาได้
3. ขั้นตอนการฟ้องร้อง การฟ้องคดีอาญาถือเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะออกคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง หรือสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม หรือสั่งให้ส่งพยานมาให้ชักถาม หากพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ก็จะส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาเพื่อให้อัยการสั่งฟ้อง
4. ขั้นตอนการพิจารณาพิพากษาคดี กระบวนการของการพิจารณาพิพากษาคดีตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 การพิจารณาและสืบพยานในศาล ให้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
- กรณีพระสงฆ์ตกเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวกับคดีฆ่าคนตายหรือโจรกรรม สามารถให้ศาลสั่งคุมขังไว้ได้ชั่วคราวในเรือนจำ โดยห้ามใช้เครื่องพันธนาการ และให้เจ้าคณะมาบังคับให้สึก หลังจากนั้นจึงใช้เครื่องพันธนาการได้
5. ขั้นตอนการบังคับโทษ การดำเนินคดีอาญาของพระสงฆ์ เมื่อผ่านขั้นตอนการจับกุม การสอบสวน การพิจารณาพิพากษาคดี จนถึงการบังคับโทษ ให้เป็นไปตามคำพิพากษานั้น รวมทั้งได้รับสิทธิในชั้นศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เหมือนบุคคลธรรมดาทั่วไป
พระสงฆ์มีความผิดทางอาญา กลับมาบวชใหม่ได้หรือไม่ ?
เมื่อพระสงฆ์มีความผิดทางอาญา มีรายละเอียดเรื่องการห่มจีวร และการบวชใหม่ ดังนี้
กรณีพระสงฆ์ที่เป็นจำเลยยอมสึกและถอดจีวร เพราะถูกต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา ต่อมาหากได้รับการประกันตัว และกลับมาแต่งกายเป็นพระภิกษุอีกครั้ง โดยมิได้อุปสมบทใหม่ จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 208 ฐานแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นพระภิกษุ สามเณรโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น
กรณีพระสงฆ์ที่ประสงค์ประสงค์กลับมาบวชในพุทธศาสนาอีกครั้ง ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์คือ
- ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและรับโทษตามคำพิพากษา เมื่อพ้นโทษออกมา สามารถเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาได้
- ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดและให้รอลงอาญา เมื่อพ้นระยะเวลาการให้รอลงอาญา สามารถเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาได้ เว้นแต่ผู้ที่พ้นจากความเป็นพระภิกษุเพราะต้องปาราชิก ไม่ว่าจะมีคำสั่งวินิจฉัยตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 หรือไม่ก็ตาม จะบรรพชาอุปสมบทอีกไม่ได้ และหากมาเข้ารับการบรรพชาอุปสมบทใหม่โดยกล่าวเท็จ หรือปิดบังความจริงต่อพระอุปัชฌาย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี
สิทธิต่าง ๆ ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่บัญญัติไว้เป็นการทั่วไปแก่พลเมืองของรัฐ พระสงฆ์ในฐานะพลเมืองของรัฐ ต้องมีสิทธิดังกล่าวเช่นกัน ในมุมกลับกัน พระสงฆ์ก็จำต้องอยูภายใต้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วยไม่ต่างกัน ทั้งในชั้นผู้ต้องหา หรือชั้นจำเลย
อ้างอิง
- มติมหาเถรสมาคม /เรื่อง การพ้นจากความเป็นพระภิกษุ กรณีต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา
- สิทธิของพระภิกษุทางกฎหมายอาญา / วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์