เมื่อบ่ายวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2025 ตามเวลาท้องถิ่นของรัฐยูทาห์ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด (Robert Redford) นักแสดงชาวอเมริกันเจ้าบทบาทได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 89 ปี
คนไทยยุค Baby-Boomers อาจจำเรดฟอร์ดได้จากภาพยนตร์แนวคาวบอยหรือมหากาพย์ชีวิตคนธรรมดา หรือมองเขาในฐานะชายหนุ่มในอุดมคติจนมีคำกล่าวว่า “หล่ออย่างกับโรเบิร์ต เรดฟอร์ด” ส่วนคอหนัง Gen Z อาจคุ้นหน้าเขาจากหนังซูเปอร์ฮีโร่จักรวาลมาร์เวล (MCU) แต่แท้จริงแล้ว บทบาทของเรดฟอร์ดไม่ได้โดดเด่นแค่บนจอเงินเท่านั้น Thai PBS จึงขอพาทุกคนมารู้จักและรำลึกเรดฟอร์ดผ่านเรื่องราวชีวิต 8 ข้อ และหนัง 9 เรื่องที่น่าสนใจไปพร้อมกันครับ

8 เรื่องราวสุขทุกข์ในชีวิตของ Robert Redford
1) เรดฟอร์ดเคยเป็น “เด็กเกเร” มาก่อน เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะดีนักในนครลอสแอนเจลิส และ – จากคำบอกเล่าของเจ้าตัวเอง – มักจะมีเรื่องต่อยตีบ่อยครั้งเมื่อยังเด็ก หลังจบม.ปลาย เขาได้ทุนนักกีฬาเบสบอลที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด (University of Colorado) แต่ลาออกเพราะทนไม่ไหวกับ “ระบบระเบียบ (bureaucracy)” ที่มากเกินไป ในช่วงเดียวกันนั้นเอง เขาก็ดื่มหนักและเที่ยวฉ่ำจนเกือบ “เป๋” ไป
2) เรดฟอร์ดเคยเกือบจะเป็น ‘จิตรกร’ เรดฟอร์ดมีความสามารถด้านศิลปะ และเคยใช้ชีวิตอยู่ในยุโรปเป็นเวลานานนับปี และเข้าเรียนที่สถาบันศิลปะ École des Beaux-Arts ในกรุงปารีสเพื่อเติมเต็มความฝันในการเป็นจิตรกร แต่ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ เขาก็เปลี่ยนไปเรียนที่สถาบันอีกแห่งในย่านมงต์ปาร์นาสซ์ (Montparnasse) เรดฟอร์ดเคยกล่าวกับ Télérama ไว้ว่า เขา “รักปารีสมากจริง ๆ ได้เรียนทั้งศิลปะและการใช้ชีวิต” เมื่อกลับมาสหรัฐฯ เขาก็ลงเรียนด้านการแสดงที่สถาบัน American Academy of Dramatic Arts
3) เรดฟอร์ดกับเรื่องเศร้าในครอบครัว ในปี 1955 แม่ของเรดฟอร์ดเสียชีวิตจากโรคเลือดหลังคลอดลูกสาวแฝด ไม่นานหลังจากนั้น แฝดก็จากไป การสูญเสียครั้งนี้ทำให้เรดฟอร์ดโกรธและใจสลายอย่างมาก “ผมเคยมีศาสนาเป็นแรงใจตอนที่ยังเด็ก แต่หลังแม่เสีย ผมรู้สึกว่าพระเจ้าทรยศผม” เรดฟอร์ดเคยกล่าวไว้ ต่อมา เมื่อมีลูกกับภรรยาคนแรก ลูกชายคนเล็กของเขาก็จากไปตอนอายุได้ 2 เดือนเศษ ส่วนเจมี (Jamie) ลูกชายอีกคนหนึ่งของเขาต้องปลูกถ่ายปอดใหม่ระหว่างที่เขาถ่ายทำหนังเรื่อง ‘Quiz Show’ (1994) ท้ายที่สุดแล้ว เจมีก็เสียชีวิตก่อนพ่อในปี 2020 ด้วยวัย 58 ปี
4) เรดฟอร์ดรักรัฐยูทาห์มาก เขาย้ายไปอยู่ที่รัฐแห่งนี้ตั้งแต่ปี 1961 และมักจะพูดบ่อย ๆ ว่าผูกพันกับยูทาห์เพราะเป็นพื้นที่ที่ให้ความสงบแก่เขาได้หลบหนีจากความตื้นเขินของวงการฮอลลีวูด
5) เรดฟอร์ดเป็นผู้ก่อตั้งเทศกาลหนังอินดี้ระดับโลก ในปี 1981 เขาก่อตั้งสถาบันไม่แสวงหาผลกำไร Sundance Institute เพื่อสนับสนุนคนทำหนังหน้าใหม่ 3 ปีถัดมา เขาเทกโอเวอร์เทศกาลหนังที่ไปไม่ค่อยสวยในยูทาห์ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Sundance Film Festival’ ซึ่งแจ้งเกิดผู้กำกับหลายคนในฮอลลีวูด อาทิ สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก (Steven Soderbergh), เควนติน ทารันติโน (Quentin Tarantino), เจมส์ วาน (James Wan) และเอวา ดูเวอร์เนย์ (Ava DuVernay) จากที่มีคนเพียงหลักร้อยในปีแรก แต่ปีล่าสุดนั้น มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 85,000 คน

6) เรดฟอร์ดเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม แม้เขาจะไม่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘นักเคลื่อนไหว’ ก็ตาม ตัวอย่างเช่น เขาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของคณะกรรมาธิการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources Defense Council) มานานกว่า 50 ปี พร้อมพยายามรักษาสิ่งแวดล้อมในเขตหุบเขาโพรโว (Provo Canyon) ที่รัฐยูทาห์ไม่ให้ถูกรุกล้ำจากมลพิษหรือโครงการขนาดใหญ่
7) เรดฟอร์ดเชื่อว่า ‘ภาพยนตร์’ สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เคยมีคนให้เขาลงเล่นการเมือง แต่ด้วยความที่เขาไม่ชอบระบบระเบียบมาตั้งแต่เด็ก บวกกับความผิดหวังต่อรัฐบาลด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมช่วงปลายยุค 70s เรดฟอร์ดจึงคิดว่า การเคลื่อนไหวอิสระ (independent activism) และพลังของเรื่องเล่านั้นเป็นเครื่องมือที่ได้ผลกว่าหน่วยงานรัฐ
8) เรดฟอร์ดได้รับรางวัลเกียรติยศจากคุณูปการแก่วงการภาพยนตร์โลก เมื่อปี 2002 เขาได้รับรางวัลออสการ์เกียรติยศจากการเป็น “นักแสดง ผู้กำกับ ผู้สร้างหนัง ผู้ก่อตั้ง Sundance และผู้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนทำหนังอิสระเปี่ยมความคิดทั่วโลก” นอกจากนี้ เขายังได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ Legion of Honor จากฝรั่งเศส และเหรียญอิสรภาพประธานาธิบดีสหรัฐอีกด้วย

รู้จัก Robert Redford ให้มากขึ้นผ่านหนัง 9 เรื่อง
1) Butch Cassidy and the Sundance Kid (1969)
หนังเรื่องนี้ถือเป็นผลงานสร้างชื่อให้กับเรดฟอร์ดในวงกว้าง สร้างมาจากเรื่องจริงของคู่หูอาชญากรสายฮิปปี้ที่ปล้นธนาคารและรถไฟติดต่อกันหลายครั้งจนต้องหลบหนีไปโบลิเวีย ด้วยภาพลักษณ์ชายอเมริกันในอุดมคติ ทั้งรอยยิ้มกว้าง ผมบลอนด์ เครางาม และเครื่องแต่งกายสไตล์คาวบอย จึงทำให้ผู้ชมยุคนั้น “ตก” ได้ง่าย ๆ อีกทั้งเคมีความเข้ากันระหว่างเรดฟอร์ดและพอล นิวแมน ได้ส่งให้ทั้งคู่เป็น “คู่จิ้น” ผู้มาก่อนกาล และสถาบันหนัง Sundance ที่เขาก่อตั้ง ก็ได้ชื่อจากหนังเรื่องนี้
2) The Sting (1973)
เรดฟอร์ดและนิวแมนกลับมาพบกันอีกครั้งในหนังเรื่องนี้ แต่คราวนี้ทั้งคู่มาในมาดนักต้มตุ๋นยุคเศรษฐกิจถดถอย (Depression era) ที่วางแผนหลอกเจ้าพ่อแก๊งอาชญากรตัวเป้งในชิคาโก นอกจากภาพลักษณ์โจรในชุดทักซิโดสุดเนี้ยบแล้ว หนังเรื่องนี้ยังโดดเด่นด้วยพล็อตเรื่องที่ชวนลุ้น บรรเลงด้วยดนตรีประกอบอันติดหูสไตล์แร็กไทม์ (Ragtime – แนวดนตรีที่พัฒนาจากชุมชนชาวแอฟริกันและเน้นเปียโน) ภาพยนตร์เรื่องนี้ชนะรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเรดฟอร์ดเองก็ได้ชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วย
3) The Great Gatsby (1974)
หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายโศกนาฏกรรมชื่อดังของเอฟ. สก็อต ฟิตซ์เจอรัลด์ (F. Scott Fitzgerald) เรดฟอร์ดรับบทเป็นเจย์ เกตส์บี้ (Jay Gatsby) เศรษฐี (ขี้แพ้) ผู้ลึกลับในยุคแจ๊ส (Jazz Age) ที่พยายามคืนดีกับคนรัก แม้หนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จทางรายได้ แต่ก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่สู้ดีนัก ตัวเรดฟอร์ดเองก็ถูกตั้งคำถามว่ามีรูปลักษณ์ที่เป็น ‘นายแบบ’ เกินไปจนถ่ายทอดความวิตกกังวลและปมในใจของเกตส์บี้ได้ไม่น่าเชื่อถือเสียเท่าไหร่ นอกจากนี้ เรดฟอร์ดได้กล่าวกับ The New York Times ในปีเดียวกับที่หนังเรื่องนี้ออกฉายว่า ภาพลักษณ์ความเป็นสัญลักษณ์ทางเพศผู้ทรงสง่านั้นอาจเป็น “จุดด้อย” ในอาชีพเขา
4) All the President’s Men (1976)
เรดฟอร์ดเล่นเป็นนักข่าวชื่อบ๊อบ วูดวาร์ด (Bob Woodward) ผู้เปิดโปงคดีอื้อฉาววอเตอร์เกต (Watergate scandal) ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ลงจากตำแหน่ง ถือเป็นหนังระทึกขวัญการเมืองต้นแบบเรื่องหนึ่งของฮอลลีวูด พร้อมฉายภาพชีวิตกับการทำงานของ ‘คนข่าว’ อย่างตรงไปตรงมา แม้จะผ่านมาหลายทศวรรษ แต่คนข่าวยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการพูดความจริง อย่างที่เรดฟอร์ดเคยให้ความเห็นในปี 2017 ว่า ยุคทรัมป์ (Donald Trump) นั้นไม่ต่างจากยุคนิกสัน “เรื่องวอเตอร์เกตก็ผ่านมา 45 ปีแล้ว แต่ความจริงต้องตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง”

5) Ordinary People (1980)
นี่เป็นครั้งแรกที่เรดฟอร์ดจับงานกำกับ หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของจูดิธ เกสต์ (Judith Guest) และเล่าถึงความแตกสลายของครอบครัวผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่งที่สูญเสียลูกชายไป หนังเรื่องนี้ยังสะท้อนถึงตัวเรดฟอร์ดเองที่เสียทั้งแม่และน้องแฝดสาวไปในช่วงที่เขาเป็นวัยรุ่น ทั้งนี้ หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ด้วยกัน 4 สาขา รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม
6) Out of Africa (1985)
เรดฟอร์ดรับบทเป็นนักบินและนักล่าสัตว์ผู้ไม่รู้จักคำว่าแพ้ แต่แพ้ใจหญิงสาวที่รับบทโดยเมอริล สตรีป (Meryl Streep) ท่ามกลางภูมิทัศน์ทุ่งหญ้าเขตสะวันนาในเคนยา นอกจากจะเป็นมหากาพย์ความรักคลาสสิกเรื่องหนึ่งในยุค 80s หนังเรื่องนี้ก็เป็นการร่วมงานครั้งที่ 6 ของเรดฟอร์ดและผู้กำกับคู่บุญ ซิดนีย์ พอลแล็ก (Sydney Pollack) และชนะออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในงานประกาศผลครั้งที่ 58
7) All Is Lost (2013)
เรดฟอร์ดกลับมารับงานแสดงอีกครั้งในวัย 77 ปี โดยท้าทายตัวเองด้วยบทชายชราที่ถูกคลื่นลมซัดกระหน่ำกลางมหาสมุทร เรดฟอร์ดมีบทพูดแค่ 51 คำ และแสดงเองคนเดียวทั้งเรื่อง แม้จะได้คำวิจารณ์ระดับ “ดีเยี่ยม” จากทั่วทุกสารทิศ แต่ตัวหนังและเรดฟอร์ดไม่ได้รับการเสนอชื่อรางวัลออสการ์ (ได้ชิงเพียงสาขาตัดต่อเสียงเพียงสาขาเดียว) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าทางค่ายหนังไม่ได้ลงทุน “ดัน” เต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรดฟอร์ดเสียดาย
8) Captain America: The Winter Soldier (2014)
เรดฟอร์ดเข้าจักรวาลหนังมาร์เวลในบทอเล็กซานเดอร์ เพียร์ซ (Alexander Pierce) เจ้าหน้าที่อาวุโสหน่วย S.H.I.E.L.D. ที่กลับกลายเป็นสายลับตัวร้าย Hydra แม้จะไม่ได้ออกบู๊เยอะเท่าคนอื่น ๆ แต่เรดฟอร์ดก็ยังคงความเก๋าไว้เหมือนสมัยหนุ่ม ๆ และคนรุ่นใหม่เองก็รู้จักเรดฟอร์ดมากขึ้นจากกัปตันอเมริกาภาคนี้ ในปี 2019 เรดฟอร์ดกลับมารับเชิญสั้น ๆ ใน ‘Avengers: Endgame’ ตอนที่เหล่าอเวนเจอร์สย้อนอดีตเพื่อกู้โลก
9) The Old Man & the Gun (2018)
หนังที่สร้างจากเรื่องจริงเรื่องนี้เป็นผลงานในฐานะ ‘นักแสดงนำ’ ครั้งสุดท้ายของเรดฟอร์ด เขารับบทเป็นฟอร์เรสต์ ทักเกอร์ (Forrest Tucker) โจรผู้เข้าออกคุกเป็นว่าเล่นจนกระทั่งเสียชีวิตในเรือนจำด้วยวัย 83 ปี หนังเรื่องนี้พอจะสรุปชีวิตการเป็นนักแสดงของเขาที่รับบท ‘โจร’ ตั้งแต่หนุ่มยันชรา “ในฐานะเด็กที่เติบโตมาในลอสแอนเจลิส ผมไม่เคยอยากจะทำผิดกฎหมายนะครับ แต่ก็ไม่อยากให้กฎหมายมาบงการเหมือนกัน ผมอยากจะเป็นคนนอกคอกสักนิดหนึ่ง อยากมีอิสระ... ผมเลยติดใจบทคนนอกกฎหมายอย่างใน Butch Cassidy [and the Sundance Kid] ครับ” เรดฟอร์ดกล่าวกับ The New York Times
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวชีวิตและผลงานโดยสังเขปเกี่ยวกับโรเบิร์ต เรดฟอร์ด ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นตัวแทนของ ‘ความเป็นอเมริกัน’ ช่วงยุค 60s-80s แต่ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมอเมริกันและวงการภาพยนตร์โลกจนถึงทุกวันนี้ กลายเป็นตำนานและ ‘ดาวค้างฟ้า’ ที่น่าจดจำอีกคนหนึ่งของฮอลลีวูด
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจจาก Thai PBS NOW
- คนไทยใครบ้าง ? ที่เคยเฉิดฉายในงาน ‘Emmy Awards’
- ชีวิต ‘คนไทยในอเมริกา’ ท่ามกลางการปราบปรามผู้อพยพยุค ‘ทรัมป์ 2.0’
- Chris Pelkey เหยื่อเหตุทะเลาะวิวาทบนท้องถนนในอเมริกาที่ “ฟื้นคืนชีพ” อีกครั้งด้วย “AI”
อ้างอิง
- AFP News
- Robert Redford Fast Facts, CNN
- Robert Redford Isn’t Going Anywhere, for Now, The New York Times
- Robert Redford, Screen Idol Turned Director and Activist, Dies at 89, The New York Times
ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW: www.thaipbs.or.th/now
