ฮอตสุดส่งท้ายปลายปี 2568 ต้องยกให้ “ทีมหมอนทองวิทยา” ที่มีโค้ชคนสำคัญ “อ.สกล เกลี้ยงประเสริฐ” รับหน้าที่ปลุกปั้น จนทำให้ทีมฟุตบอลแห่งอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา สามารถคว้ารองแชมป์ฟุตบอล 7 สี ปี 2568 แถมยังสร้างกระแส “หมอนทองฟีเวอร์” ดึงดูดให้แฟนกีฬาชาวไทย เข้ามาชมเกมรอบชิงฯ จนทำเอาสนามศุภชลาศัยแทบแตก
ทว่าจากนี้และต่อไป รถขนฝันที่ชื่อว่า “หมอนทองวิทยา” จะเดินหน้าไปอย่างไร Thai PBS มีโอกาสสนทนากับ อ.สกล เกลี้ยงประเสริฐ ถึงกระแสความฮอต และเส้นทางต่อยอดความฝันจากนี้ เขาและเดอะทีมหมอนทอง จะไปต่ออย่างไร
ความโด่งดังของ “หมอนทองวิทยา” เหมือนฉีดเซรุ่มกระตุ้นเด็กไทย
เริ่มต้นพูดคุยกับ อ.สกล ถึงเรื่องราวความฟีเวอร์ของทีมฟุตบอลหมอนทองวิทยา ที่ในเวลานี้ เรามักได้เห็นภาพโค้ชใหญ่อย่าง อ.สกล และบรรดาผู้เล่นในทีม เดินสายออกสื่ออยู่ตลอดเวลา
“ประชาชนให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก เวลาเราเดินอยู่บนถนน บนทางเท้า ถ้ามีคนที่ขับรถเห็น จะต้องลดกระจกลงมาทักทาย ‘อาจารย์ สู้ต่อไปนะ’ คือทุกคนให้กำลังใจ ไม่มีใครถามเลยว่า อาจารย์ ทำไมแพ้ ทำไมไม่ได้แชมป์ ไม่มี ส่วนใหญ่จะให้กำลังใจ ให้เราไปต่อ มันจึงกลายเป็นการกระตุ้นให้เรามีความรู้สึกว่า เราต้องเป็นโค้ชต่อไป เราตายไม่ได้แล้ว”

อ.สกล เล่าพลางยิ้มแย้มอารมณ์ดี พร้อมกับนิยามถึงกระแสความโด่งดังของหมอนทองวิทยาในเวลานี้ว่า เหมือน “ฉีดเซรุ่ม”
คือตอนนี้หมอนทองเหมือนไปกระตุ้นความรู้สึกคนน่ะ เหมือนไปฉีดเซรุ่มอะไรสักอย่าง กระตุ้นให้คนที่ไม่สนใจฟุตบอล ให้กลับมาสนใจอีกครั้ง ผมเจอพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน เข้ามาบอกว่า ลูกไม่เคยสนใจฟุตบอล แต่ตอนนี้ให้พ่อไปซื้อลูกบอล หรือซื้อชุดฟุตบอล เขาอยากจะเล่นบอล อยากมาหาเราที่โรงเรียน นี่คือเสียงตอบรับ และถือเป็นการประสบความสำเร็จของเรา
จาก “หมอนทองวิทยา” สู่ “หมอนทองออนทัวร์” การต่อยอดสู่ความสำเร็จ
“อย่างที่บอกว่า ตอนนี้เราตายไม่ได้แล้ว เราอยากจะมีชีวิตต่อไป เราอยากลดอายุตัวเองให้น้อยลงด้วย เพื่อให้เรามีพละกำลังที่จะพัฒนาอะไรดี ๆ ต่อไป"
"ชีวิตตอนเด็ก ๆ เราไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ตอนเด็กชีวิตเราแสนเข็ญมาก กว่าจะได้เล่นฟุตบอล ต้องไปเอายางในรถจักรยานมาสูบลมเพื่อทำเป็นลูกฟุตบอล หรือไม่ก็เอาลูกโป่งมาเตะ เรื่องของเรื่องเพราะไม่มีตังค์ซื้อ แต่พอมาวันนี้ เราทำให้คนเห็นคุณค่าในความตั้งใจของเรา เมื่อก่อนต้องหาลูกบอลมาเล่น แต่วันนี้ เราสามารถขอลูกบอลจากผู้สนับสนุนได้ทีละร้อยสองร้อยลูก แต่ขอเอามาให้กับเด็กนักเรียนตามโรงเรียนต่าง ๆ ที่เราจะเอาไปแจกให้นะ”
อ.สกลเล่าต่อว่า ขณะนี้หมอนทองวิทยา มีโครงการหมอนทองออนทัวร์ โดยตั้งใจที่จะออกเดินทาง เพื่อไปสร้างขวัญกำลังใจ หรือแม้แต่ช่วยหาทุนทรัพย์ให้กับเด็ก ๆ เยาวชนทั่วประเทศ
หลังจากนี้ไป เราตั้งใจจะเป็น ‘หมอนทองออนทัวร์’ คือไปทุกจังหวัดที่เขาร้องขอมา เพื่อร่วมทำกิจกรรม เช่น ถ่ายรูป หรือไปถ่ายทอดเรื่องราว ไปให้สัมภาษณ์ หรือไปแข่งขันฟุตบอล
“ล่าสุดโรงเรียนบางบาล (พระนครศรีอยุธยา) ประสบภาวะน้ำท่วม เขาอยากให้เราไปแข่งขันฟุตบอลด้วย เราก็เลยจัดแมตซ์แข่งขันเพื่อหาเงินให้เขาสักก้อน เพื่อที่จะให้เขาได้เงินไปใช้เป็นทุนในการแข่งขันต่อไป เราพยายามที่จะเอากระแสของเราไปช่วย โดยแฟนคลับที่ตามไปดู ขอให้ช่วยกันบริจาค คนละร้อยสองร้อย ช่วยให้บางบาลเขามีกำลังใจ เพื่อที่จะเดินทางต่อไปได้”


เมื่อได้รับโอกาส ก็พร้อมจะส่งต่อโอกาสให้กับคนอื่น ๆ เช่นเดียวกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มากขึ้น และทั่วถึง
“เราเคยอยู่ในมุมที่คนมองไม่เห็นมาก่อน แต่วันนี้เราต่อสู้จนผู้คนมากมายเริ่มมองเห็น แต่เราเองก็พร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่น ๆ เพราะยังมีคนอีกมากมายที่รอคอยโอกาสแบบเรา”
สานต่อหมอนทองวิทยา สู่การพัฒนากีฬาเยาวชนให้ยกระดับอย่างยั่งยืน
นอกจากการพา “หมอนทอง” ออนทัวร์ เพื่อช่วยปลุกกระแสกีฬาแล้ว อีกหนึ่งบทบาทที่ อ.สกล ได้รับมอบหมายในเวลานี้ นั่นคือ การทำหน้าที่ “ที่ปรึกษาด้านกีฬา” เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
“เขาอยากเห็นวิสัยทัศน์ในเรื่องการพัฒนากีฬาของเรา ว่ามีรูปแบบอย่างไร หรือแตกต่างไปจากเดิมอย่างไร ซึ่งผมก็มีความคิดของผมอยู่ในใจนะ (หัวเราะ) ยกตัวอย่าง กรณีของ กกท. (การกีฬาแห่งประเทศไทย) กับ กรมพลศึกษา ควรจะแยกกันให้ขาด”
“คือ กกท ควรจะสร้างกีฬาอาชีพ ส่วนกรมพลศึกษา ก็สร้างกีฬาสมัครเล่น แยกกันให้ชัดเจน อย่างคนที่เล่นอาชีพแล้ว ก็ควรมีกฎว่าไม่ควรมาเล่นสมัครเล่น ปล่อยให้ดาวรุ่งที่มาจากต่างจังหวัด หรือโรงเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาได้ลงเล่น เพื่อให้ก้าวเข้าไปยังกีฬาอาชีพในโอกาสต่อไป แต่ทุกวันนี้ คุณทำงานทับซ้อนกันไปหมด ไม่รู้อันไหนอาชีพ อันไหนสมัครเล่น”
“หรือเรื่องระบบการแข่งขัน จำนวนนัดที่แข่งขันมันน้อยไปไหม บางรายการ จัดแบบน็อกเอาต์ มันมีปัญหาไหมล่ะ บางทีมเตรียมตัวมาทั้งปี แข่งแค่ 20 นาทีจบเลย ตกรอบเลย เราเปลี่ยนใหม่ ควรทำให้ดีขึ้นไหม เช่น ลองคัดเอา 5 อันดับที่ดีที่สุดเข้ากรุงเทพ เขาจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก”
“หรือลองจัดตามภูมิภาคก่อน แล้วใช้จังหวัดที่การเดินทางไม่ไกลมากเป็นสถานที่แข่งขัน รูปแบบคือเอา 4 ทีมสุดท้าย หรือ 8 ทีมสุดท้ายเข้ากรุงเทพ ไปคัดมาแต่ละภาคให้เรียบร้อยก่อน จะได้ทุ่นเวลา อีกอย่างคือ พ่อแม่จะได้ปล่อยให้ลูกออกมาเล่น โดยที่ไม่ต้องไปเสี่ยงภัย เดินทางไกล ๆ เพราะสถานที่แข่งขันอยู่ในละแวกเดียวกัน”

อีกหนึ่งเรื่องที่ อ.สกลบอกว่า ควรคิดใหม่ทำใหม่ นั่นคือ การจัดระเบียบโรงเรียนกีฬา
เรื่องโรงเรียนกีฬา รัฐมีงบบประมาณให้แต่ละปีไม่ใช่น้อย ๆ แต่เด็กโรงเรียนกีฬา กลับไม่สามารถนำเข้าสู่กระบวนการทีมชาติได้เลย แล้วทำเพื่ออะไร แถมยังกลายเป็นความเหลื่อมล้ำอีกด้วย โดยเฉพาะกับเด็กที่ไม่มีอะไรเลย แต่เด็กที่ไม่ติดโรงเรียนกีฬา ไอ้เด็กเหล่านั้น กลับสามารถพุ่งเข้าไปติดทีมชาติได้ ถามว่ามันคืออะไร และถามต่ออีกว่า โรงเรียนกีฬาสร้างอะไรกับชาติได้บ้าง
“อีกปัญหาของโรงเรียนกีฬายุคนี้คือ จับฉ่าย มั่วไปหมด ผมแนะนำให้ลองทำอย่างนี้ ‘หนึ่งกีฬา หนึ่งจังหวัด’ สมมติว่าเป็นโรงเรียนกีฬาลำปาง ให้ทำเฉพาะกีฬาฟุตบอลเท่านั้น ทำให้ชัดเจนไปเลย เพื่อให้เด็กที่อยากเป็นนักฟุตบอลไปที่โรงเรียนนี้ พัฒนาทำให้เป็นศุนย์พัฒนาทีมชาติย่อย ๆ ไปเลยก็ได้หรือสมมติว่าโรงเรียนกีฬาชลบุรี ทำเป็นโรงเรียนกีฬาเซปักตะกร้อ ก็เอาให้เต็มที่เลย หาบุคลากร หาโค้ชดี ๆ ระดมมาที่นี่ ไม่ต้องไปทำกีฬาให้แตกกระจาย ไม่รู้กี่แขนง มันเสียเวลา”
“แล้วทุกโรงเรียนควรปักป้ายไว้ที่หน้าโรงเรียนตัวเองด้วยว่า ‘หนึ่งโรงเรียน หนึ่งกีฬา’ คุณจะเป็นกีฬาเล็ก กีฬาใหญ่ แล้วแต่คุณเลย พอเวลาผู้หลักผู้ใหญ่มาตรวจงาน จะได้เห็นว่า เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกายกันจริง ๆ"
แล้วเวลาที่รัฐให้งบประมาณ ถ้าโรงเรียนไหนสนับสนุนกีฬาอะไร ก็ให้งบซื้ออุปกรณ์ให้ตรงตามความต้องการ ไม่ต้องไปแยกไปแยะให้วุ่นวาย ที่สำคัญ โรงเรียนไหนที่สามารถผลิตเด็กติดทีมชาติได้ ให้งบประมาณเข้าไปอีก โค้ชเขาจะได้มีกำลังใจ
“หมอนทองวิทยา” ตำนานของจริงที่สู้ไม่ถอย
แม้วันนี้จะกลายเป็นทีม “ดาวรุ่ง” ที่ผู้คนรู้จักและประทับใจ แต่ อ.สกล บอกว่า ยังรักษาความมุ่งมั่นของนักกีฬาเอาไว้ให้ได้ทุกคน ประการที่สำคัญ ต้องไม่ลืมความยากลำบากที่ผ่านมา และต้องมีเป้าหมายที่จะคว้าความสำเร็จต่อไป
ท้อได้ แต่อย่าถอย มันไม่มีอะไรยากหรอก ดูอย่างชีวิตอาจารย์สกล เป็นคนที่โคตรไม่มีอะไรเลย ไม่มีเงิน ไม่มีความร่ำรวย จบโค้ชก็โค้ชเถื่อน (หัวเราะ) เข้าใจคำว่าโค้ชเถื่อนไหม เรียนโค้ชมาแทบเป็นแทบตาย สอบผ่านหมด แต่สมาคมฯ ไม่รับรอง เอเอฟซีไม่รับรอง เราเลยกลายเป็นโค้ชเถื่อน ณ บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ผมก็ใช้วิชาโค้ชเถื่อนของผมนี่แหละ ทำฟุตบอลมาอย่างที่ท่านเห็น
“ฝากสำหรับคนที่กำลังท้อ ท่านต้องไม่ท้อ และต้องไม่ถอย เพราะถ้าท่านถอยเมื่อไร คือท่านแพ้ เหมือนบอลสไตล์หมอนทอง ไม่มีคำว่าถอย สกอร์จะเป็นยังไงก็ช่าง แต่คนดูเมื่อมาดูเรา ต้องได้กำไร นั่นคือ ความสนุก เพราะฉะนั้น ทุกแมตช์ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ความมันส์จะบังเกิด”

ฟุตบอลหมอนทองวิทยายังเดินหน้าต่อไป และฟุตบอลแบบ “สกลสไตล์” จะยังคงชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อพิสูจน์ว่า นี่คือของจริง ไม่มีฟลุค ไม่มีโชคช่วย
“ผลแพ้ชนะมันเป็นเรื่องสมมติ วันนี้แชมป์ พรุ่งนี้ก็เป็นอดีตแชมป์แล้ว ถูกไหม แต่สิ่งที่ต้องชัดเจนคือ รูปแบบ และระบบ ที่สามารถพิสูจน์ได้ในสนาม ว่าท่านเก่งจริงไหม ไม่ใช่ว่าชนะแมตซ์เดียวแล้วเก่ง คุณต้องชนะในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ชนะ"
"หมอนทองวิทยาดังได้ เพราะมีรูปแบบ เพราะชนะทีมที่เป็นอดีตแชมป์มาทั้งหมดหลายต่อหลายทีม จนประชาชนตัดสินแล้วว่า เราไม่ได้ฟลุค เราไม่ได้ใช้ดวง แต่เรามีพละกำลัง มีรูปแบบ มีความชัดเจน เราเป็นวิทยาศาสตร์ และเราคือของจริง”

ชื่อ “หมอนทองวิทยา” สร้างกระแสให้แวดวงกีฬาไทย แต่เหนืออื่นใด คือภาพสะท้อนของการส่งเสริมกีฬาไทย ที่นอกจากต้องมีแบบแผนที่จริงจัง ทั่วถึง ยังควรคำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อความเป็นเลิศทางกีฬาของประเทศอย่างแท้จริง
ย้อนอ่านข่าวที่น่าสนใจอื่น ๆ




















