“10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์” เป็นสกู๊ปพิเศษที่ผู้เขียนได้จัดทำต่อเนื่องกันมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว สำหรับช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของทุกปี โดยผู้เขียนจะคัดเลือก 10 ข่าว หรือเหตุการณ์สำคัญทางวิทยาศาสตร์และที่เกี่ยวเนื่องทั้งระดับโลกและประเทศไทย ในรอบปีที่กำลังจะผ่านไป มาเล่าสู่ท่านผู้อ่าน
สำหรับ “10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ ปี 2025” แบ่งเป็น 2 ตอน ตอนละ 5 ข่าว เป็นข่าวระดับโลก 7 ข่าว เป็นข่าวเกี่ยวกับประเทศไทย 1 ข่าว เป็นข่าวทั้งระดับโลกและประเทศไทยรวมกัน 1 ข่าว โดยข่าวที่ 10 เป็นข่าวที่ผู้เขียนได้สงวนไว้สำหรับข่าวการจากไปของบุคคลสำคัญทางวิทยาศาสตร์หนึ่งคน
ในการจัดอันดับความสำคัญของข่าว 3 ข่าวแรก เป็นข่าวที่ผู้เขียนจัดอันดับความสำคัญอย่างตั้งใจ ข่าวที่ 4-9 ผู้เขียนก็ได้พยายามจัดอันดับความสำคัญด้วย แต่ไม่เคร่งครัดเท่า 3 ข่าวแรก

(1) นาฬิกาวันสิ้นโลก : เข้าใกล้เที่ยงคืนมากที่สุด
วันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2025 “นาฬิกาวันสิ้นโลก” (Doomsday Clock) ของวารสาร “จดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์อะตอม” (Bulletin of the Atomic Scientists) ถูกปรับตั้งเวลาใหม่เป็น “89 วินาทีก่อนเที่ยงคืน” นับเป็นเวลาเข้าใกล้เที่ยงคืนแห่งวันสิ้นโลกาวินาศมากที่สุด ตั้งแต่กำเนิดของนาฬิกาวันสิ้นโลก เมื่อ 78 ปีก่อน ในปี ค.ศ. 1947
นาฬิกาวันสิ้นโลก มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์อะตอมแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก และนักวิทยาศาสตร์ผู้มีบทบาทสำคัญมากที่สุดสองคน สำหรับการเกิดขึ้นของระเบิดอะตอม คือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพภาคพิเศษ ที่มาของสมการ E = mc² ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของระเบิดอะตอม และ เจ. โรเบิร์ต ออปเปนไฮเมอร์ (J. Robert Oppenheimer) หัวหน้าฝ่ายนักวิทยาศาสตร์ของโครงการแมนฮัตตัน (Manhattan Project) ซึ่งหันมาคัดค้านการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ต่อของสหรัฐอเมริกา คือ ระเบิดไฮโดรเจน
เป้าหมายของการสร้าง “นาฬิกาวันสิ้นโลก” เพื่อเป็นสัญญาณเตือนมนุษย์ทั้งโลก ให้ตระหนักถึงมหันตภัยคุกคามมนุษยชาติถึงระดับวันโลกาวินาศ โดยกำหนดให้ “เวลาเที่ยงคืน” เป็นเวลาของ “วันโลกาวินาศ”
เมื่อแรกเริ่ม นาฬิกาวันสิ้นโลกก็มีเฉพาะ “ภัยนิวเคลียร์” เป็น “ตัวแปรหลัก” ของการตั้งเวลาวันสิ้นโลก ต่อมา จึงมีการเพิ่มขึ้นมาอีก 3 ปัจจัยที่จะเป็นตัวกำหนดเวลาของนาฬิกาวันสิ้นโลก คือ (1) สภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะโลกร้อน (2) ภัยจากเทคโนโลยีชีวภาพ ดังเช่น การตัดต่อยีน การสร้างสิ่งมีชีวิตแปลกใหม่ที่มีผลร้ายแรงต่อมนุษยชาติ และ (3) ภัยจากเทคโนโลยีสร้างความปั่นป่วน (disruptive technology) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI)
ที่มาสาเหตุการขยับตั้งเวลานาฬิกาวันสิ้นโลกให้เข้าใกล้เวลาเที่ยงคืนมากที่สุด ตั้งแต่กำเนิดของนาฬิกาวันสิ้นโลก คือ ภัยนิวเคลียร์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 ซึ่งทางฝ่ายประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ขู่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ถ้าจำเป็น
คำขู่ที่ในปี ค.ศ. 2025 ก็ยังดังอยู่ แถมจะดังมากขึ้น จากฝ่ายรัสเซีย โดยทางฝ่าย “นาโต” (NATO) ซึ่งก็มีอาวุธนิวเคลียร์ และสนับสนุนยูเครนอยู่ ก็ประกาศตอบโต้รัสเซียเช่นกัน
นอกเหนือไปจากภัยนิวเคลียร์ ภัยจากภาวะโลกร้อนในปี ค.ศ. 2025 ก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลจากนโยบายไม่เห็นด้วยกับภาวะโลกร้อนและลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
สำหรับการคุกคามของเทคโนโลยีชีวภาพ ในปี ค.ศ. 2025 ปรากฏว่า ไม่รุนแรง แต่ที่ไปปะทุเป็นภัยรุนแรงอย่างต่อเนื่องในระยะไม่กี่ปีมานี้ และก็เป็นประเด็นสร้างความตึงเครียดแก่โลกด้วย ก็คือ ผลจากเทคโนโลยีสร้างความปั่นป่วนแก่มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคุกคามของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ที่ถูกมองว่าอาจจะ “เหนือมนุษย์” ในอนาคตอันใกล้ได้
ทั้งหมดนี้ จึงทำให้เวลาล่าสุดของนาฬิกาวันสิ้นโลกปี ค.ศ. 2025 เป็นเวลาที่คนทั่วโลก ไม่กล้า “ละสายตา” และหวังว่า นาฬิกาวันสิ้นโลกปีหน้า คือ ปี ค.ศ. 2026 จะถอยห่างจากเวลา 89 วินาทีก่อนเที่ยงคืนออกมา !
อ่านบทความ นาฬิกาวันสิ้นโลก 2025 : ใกล้เที่ยงคืนมากที่สุด !

(2) 100 ปีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควอนตัม
ปี ค.ศ. 2025 ได้รับการประกาศโดยองค์การสหประชาชาติให้เป็น “ปีสากลแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควอนตัม” (2025 International Year of Quantum Science and Technology) เพื่อฉลองในวาระครบรอบ 100 ปีของกำเนิดทฤษฎีควอนตัมอย่างเป็นรูปธรรม ใช้ประโยชน์ได้จริง
อย่างน่าสนใจ ทฤษฎีควอนตัมมีกำเนิดจริงๆ ตั้งแต่เมื่อ 125 ปีก่อน (ในปี ค.ศ. 1900) โดย มักซ์ พลังค์ (Max Planck) และมักซ์ พลังค์ ก็เป็นคนตั้งคำ “ควอนตัม” (quantum) ขึ้นมา เพื่อเรียกลักษณะของพลังงานแบบเป็น “ท่อน ๆ” มิใช่แบบ “ต่อเนื่อง” ของฟิสิกส์ยุคเก่า
แล้วทำไมสหประชาชาติจึงเรียกปี ค.ศ. 2025 เป็น 100 ปีของกำเนิดทฤษฎีควอนตัม
คำตอบตรงๆ ก็คือ ถึงแม้ มักซ์ พลังซ์ จะให้กำเนิดทฤษฎีควอนตัมจริงๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 แต่จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1925 ทฤษฎีควอนตัมก็มีสภาพเป็น “ทฤษฎีล้วน ๆ” แต่ยังใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้ คล้ายกับเรื่องของฟิสิกส์ยุคเก่าที่นักฟิสิกส์รู้จัก “มวล” และ “แรง” แต่ก็ยังใช้ประโยชน์ได้อย่างจำกัดเชิงทฤษฎี จนกระทั่งเมื่อนิวตันตั้งทฤษฎีหรือกฎการเคลื่อนที่ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมการ F = ma กลศาสตร์ยุคเก่าจึงใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมได้จริง
เช่นเดียวกับเรื่องของกลศาสตร์ควอนตัม จนกระทั่งเมื่อ เวิร์นเนอร์ ไฮเซนเบิร์ก ในปี ค.ศ. 1925 ค้นพบและตั้ง “กลศาสตร์ควอนตัม” (quantum mechanics) ขึ้นมา ซึ่งก็เปรียบคล้ายกับสมการว่าด้วยการเคลื่อนที่ของวัตถุขึ้นมา เรื่องของควอนตัม จึงเปลี่ยนจากการเป็นเพียงความคิดเชิงทฤษฎีบริสุทธิ์ มาเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่ใช้งานได้จริง และจึงเป็นเหตุผลที่องค์การสหประชาชาติ เรียกปี ค.ศ. 2025 เป็นปีสากลแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควอนตัม
ในปี ค.ศ. 2025 องค์การสหประชาชาติ (โดยยูเนสโก) และวงการฟิสิกส์ทั่วโลก ก็มีกิจกรรมมากมายเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม และการร่วมรำลึกถึง เวิร์นเนอร์ ไฮเซนเบิร์ก
ปลายปี ค.ศ. 2025 สปอตไลต์สำหรับการฉลอง 100 ปี กลศาสตร์ควอนตัม ก็เพิ่มความสว่างสดใสให้กับการฉลอง 100 ปีกลศาสตร์ควอนตัม เมื่อราชสถาบันวิทยาศาสตร์สวีเดน ประกาศ (วันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2025) มอบรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี ค.ศ. 2025 แก่นักฟิสิกส์สามคน คือ จอห์น คลาร์ก (John Clarke) , ไมเคิล เอช. เดโวเรต (Michael H. Devoret) และ จอห์น เอ็ม. มาร์ทินิส (John M. Martinis) สำหรับผลงาน “การทะลุอุโมงค์กลศาสตร์ควอนตัมระดับแม็กโครและพลังงานควอนตัมในวงจรไฟฟ้า” (macroscopic quantum mechanical tunnelling and energy quantization in an electric circuit)
อ่านบทความ เวิร์นเนอร์ ไฮเซนเบิร์ก : 100 ปี กลศาสตร์ควอนตัมและระเบิดอะตอม

(3) ไขความลับกว่า 100 ปีหลุมดำยักษ์
วันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 2025 คณะนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเกอเธ่ แฟรงค์เฟิร์ต (Gothe University Frankfurt) ประเทศเยอรมนี ตีพิมพ์รายงานในวารสาร Astrophysical Journal Letters ผลการวิจัยศึกษาใหม่ ไขความลับกว่า 100 ปี กำเนิดที่มาของลำเจ็ตพลาสมาอนุภาคพลังงานสูง เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกือบเท่าแสงออกมาจากหลุมดำยักษ์ชนิดหมุนและไม่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะเป็น หลุมดำเคอร์ (Kerr Black Hole)
ต้นเรื่องที่มาของ “ไขความลับกว่า 100 ปี หลุมดำยักษ์” คือ การค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1918 โดย เฮเบอร์ เคอร์ติส (Heber Curtis) ว่า มีลำอนุภาคพลังงานสูงพุ่งออกมาจากใจกลางกาแล็กซี เอ็ม87 (M87) ซึ่งต่อมาจึงทราบกันว่า เป็นลำอนุภาคพลังงานสูงพุ่งออกมาจากหลุมดำยักษ์87* ที่ใจกลางกาแล็กซี เอ็ม87 แต่ที่เป็นปริศนา คือ ลำเจ็ตอนุภาคพลังงานสูงนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ก่อนการวิจัยใหม่ ก็มีคำอธิบายกำเนิดที่มาของลำเจ็ตอนุภาคพลังงานสูงดังกล่าว มีชื่อเรียกว่า “กระบวนการ แบลนด์ฟอร์ด-ซนาเยก” (Blandford-Znajek Process) มาก่อน ตั้งขึ้นมาโดย โรเจอร์ แบลนด์ฟอร์ด (Roger Blandford) และ โรมัน ซนาเยก (Roman Znajek) เมื่อปี ค.ศ. 1977 และก็เป็นคำอธิบายหลักของวงการดาราศาสตร์ตลอดมา จนกระทั่งถึงการวิจัยใหม่
ตามกระบวนการแบลนด์ฟอร์ด-ซนาเยก หลุมดำยักษ์ที่กำลังหมุน ใช้สนามแม่เหล็กจากหลุมดำยักษ์เอง คล้ายกับสนามแม่เหล็กแมกนีโตสเฟียร์ (magnetosphere) ของโลก เป็นตัวถ่ายทอดพลังงานของหลุมดำยักษ์ที่กำลังหมุน โดยการให้สนามแม่เหล็กที่เกิดการบิดเบี้ยว (twisted) อยู่ในบรรดาแก๊สร้อนโดยรอบหลุมดำใกล้ “ขอบฟ้าเหตุการณ์” (event horizon) ซึ่งเป็นเสมือนกับผิวของหลุมดำยักษ์ ทำให้เกิดการจัดตัวของแก๊สร้อนเป็นลำอนุภาคหรือเจ็ตพลาสมา (อนุภาคมีประจุไฟฟ้าและร้อนจัด) พุ่งออกไปจากหลุมดำยักษ์ ด้วยความเร็วสูงเกือบเท่าแสง
แล้วทำไมจึงต้องมีโจทย์การวิจัยขึ้นมาใหม่อีก ?
ก็เพราะถึงแม้กระบวนการแบลนด์ฟอร์ด-ซนาเยกจะยังใช้กันโดยทั่วไป แต่ผลจากการเจาะศึกษาหลุมดำยักษ์ ดังเช่น M87* และหลุมดำยักษ์หมุนรอบตัวเองอื่นๆ โดยละเอียดขึ้นอีก ดังเช่น การเจาะศึกษาจนกระทั่งได้ภาพแรกที่เผยแพร่ของหลุมดำยักษ์ เอ็ม87* เมื่อปี ค.ศ. 2019 และหลุมดำยักษ์ เอสจีอาร์ เอ* (Sgr A*) ที่ใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราเมื่อ ปี ค.ศ. 2022 คณะนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเกอเธ่ แฟรงค์เฟิร์ต จึงตั้งเป็นโจทย์ใหม่ ใช้ความรู้เชิงทฤษฎีล่าสุด และเครื่องมือ คือ คอมพิวเตอร์ดีที่สุดที่มีอยู่ เพื่อค้นหาสาเหตุการก่อกำเนิดของลำเจ็ตพลาสมาความเร็วเกือบเท่าแสง ที่พุ่งออกไปจากหลุมดำยักษ์ชนิดหมุน โดยสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ และใช้ข้อมูลใหม่ล่าสุดจากตัวอย่าง “ของจริง” เป็น “ตัวตรวจสอบ” ว่า แบบจำลองที่ถูกพัฒนาขึ้นมา “ถูกต้อง” หรือ “ใช้ได้หรือไม่ ?”
แบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่คณะนักวิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นมา มีชื่อเรียกว่า รหัส “เอฟพีไอซี” (FPIC Code)
ผลการวิจัยใหม่สำคัญที่สุด คือ พบว่า กระบวนการแบลนด์ฟอร์ด-ซนาเยก ยังใช้ได้และถูกต้อง แต่ไม่เพียงพอสำหรับการเกิดลำเจ็ตอนุภาค โดยการวิจัยใหม่พบว่า นอกเหนือไปจากความปั่นป่วนในบรรดาแก๊สร้อนรอบหลุมดำ ที่เกิดจากการบิดเบี้ยวของสนามแม่เหล็กจากหลุมดำแล้ว ก็ยังเกิด “การฉีกขาด” ของสนามแม่เหล็ก แล้วก็เกิด “การต่อกันใหม่” ของสนามแม่เหล็ก เพิ่ม “ความโกลาหล” แก่บรรดาแก๊สร้อน ทำให้เกิดเป็นลำเจ็ตพลาสมาพลังงานสูง พุ่งออกมาจากหลุมดำยักษ์ มากกว่าที่เกิดเฉพาะจากกระบวนการแบลนด์ฟอร์ด-ซนาเยก
เนื่องจากจุดเริ่มต้นของโจทย์การวิจัยใหม่มาจากหลุมดำยักษ์ เอ็ม87* ซึ่งถูกค้นพบเมื่อกว่าหนึ่งร้อยปีก่อน ผลการวิจัยจึงถูกมองเป็นกุญแจไขความลับหลุมดำยักษ์กว่า 100 ปี
อ่านบทความ นักวิทย์ไขความลับกว่า 100 ปี หลุมดำยักษ์ !

(4) “อัลเคมี” ยุคใหม่เปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำ
วันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 คณะนักวิทยาศาสตร์ที่ “องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป” (European Organization for Nuclear Research) หรือ “เซิร์น” (CEARN) ตีพิมพ์ในวารสาร Physical Review C รายงานผลการทดลองกับเครื่องเร่งอนุภาคทรงพลังที่สุดในโลก “แอลเอชซี” (LHC) พบว่า มีอะตอมของตะกั่วจำนวนหนึ่ง เปลี่ยนไปเป็นทองคำ
ในอัลเคมี (alchemy) โบราณ ความฝันสูงสุดของนักอัลเคมีทั่วโลก คือ การค้นหา “Philosopher’s Stone” (หินนักปราชญ์) ซึ่งมีคุณสมบัติ 3 อย่าง คือ (1) เปลี่ยนวัสดุมีค่าน้อย เช่น ตะกั่ว ให้เป็นวัตถุมีค่ามาก คือ ทองคำได้ (2) รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกชนิด และ (3) ให้ความเป็นอมตะได้
ถ้าเปรียบเรื่องการเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำได้สำเร็จ โดยเครื่องแอลเอชซีที่เซิร์น กับความพยายามของนักอัลเคมีโบราณ ก็เปรียบง่ายๆ ได้ว่า นักวิทยาศาสตร์ที่เครื่องแอลเอชซี เป็น “นักอัลเคมียุคใหม่” และเครื่องแอลเอชซีก็คือ “หินนักปราชญ์ยุคใหม่”
ในเบื้องต้นที่ข่าวเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกมา ก็สร้างกระแสความตื่นเต้นว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำได้แล้ว และก็มีการคาดคิดถึง ผลที่จะเกิดขึ้นต่อเรื่อง “คุณค่า” “ราคา” และ “ผลกระทบ” ของทองคำมากมาย
ข้อเท็จจริงที่สำคัญ คือ นักวิทยาศาสตร์ได้พบการเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำจริง จากการชนกันของ ลำนิวเคลียสอะตอมของตะกั่ว ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกือบเท่าแสงในท่อวงกลมของเครื่องแอลเอชซี แต่ปริมาณที่ได้จริง ๆ ก็ “น้อยมาก” ในระดับเป็น “จำนวนอะตอม” ของทองคำที่เกิดขึ้น ในอัตราสูงสุดวินาทีละ 89,000 อะตอม
แล้วก็มีข้อเท็จจริงวิทยาศาสตร์ว่า การเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำโดยเครื่องแอลเอชซี ที่เป็นข่าวนี้ มิใช่เป็น “ครั้งแรก” เพราะนักวิทยาศาสตร์เคยทำได้มาก่อนแล้ว แต่ก็เป็นปริมาณน้อยมาก จนกระทั่งไม่เป็น “ข่าว” ให้ตื่นเต้นกัน
ที่สำคัญ หลักการสำคัญของการเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำของนักอัลเคมียุคใหม่ก็เป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ลึกลับซับซ้อน เพราะนักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันทราบกันแล้วว่า ตะกั่วกับทองคำ จริง ๆ ก็ต่างกันเพียงจำนวนโปรตอนในอะตอมของตะกั่วกับทองคำเท่านั้น โดยตะกั่วมีโปรตอน 82 ตัว ในขณะที่ทองคำมีโปรตอน 79 ตัว ดังนั้น สิ่งที่นักอัลเคมียุคใหม่ต้องทำ ก็เพียงแต่ทำให้อะตอมของตะกั่ว เสียโปรตอนไป 3 ตัว เท่านั้น ก็จะได้ทองคำขึ้นมา
แล้วนักวิทยาศาสตร์ลงทุนลงกำลังความคิดเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำทำไม ?
เป้าหมายใหญ่ คือ การศึกษาธรรมชาติของธาตุต่าง ๆ ซึ่งถึงแม้สมบัติพื้นฐาน จะเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่ก็มีกระบวนการ...เรื่องราว...เชิงวิทยาศาสตร์ ที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการได้ข้อมูลและคำตอบอีกมาก โดยประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมของการทดลองเปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำที่เซิร์นตามข่าวนี้ ก็เพื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติมในการปรับปรุงเครื่องเร่งอนุภาคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก เพื่อเจาะหา “ความลับ” ในเรื่องของอนุภาคมูลฐานที่ยัง “รอให้ค้นพบ” อีกมาก
อ่านบทความ อัลเคมียุคใหม่เปลี่ยนตะกั่วเป็นทองคำ

(5) นักดาราศาสตร์ไทยกับการค้นพบ ซูเปอร์โนวา SN 2025rbs
วันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. (NARIT) รายงานผลงานนักดาราศาสตร์ไทย สดร. กับการค้นพบซูเปอร์โนวา SN 2025rbs
ซูเปอร์โนวา SN 2025rbs เป็นซูเปอร์โนวาชนิด 1a (หนึ่งเอหรือวันเอ) เกิดจากการระเบิดของดาวแคระขาวดวงหนึ่ง ที่จับคู่กับดาวฤกษ์อีกดวงหนึ่ง อยู่ในกาแล็กซี NGC 7333 ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 45.6 ล้านปีแสง ถูกค้นพบโดย กล้องโทรทรรศน์ จีโอทีโอ (GOTO : Gravitational-Wave Optical Transient observer) ที่สเปน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 โดยมี ดร. กันต์ธนากร น้อยเสนา เป็นหนึ่งในทีมผู้ค้นพบ SN 2025rbs
ต่อมาอีกไม่กี่ชั่วโมง ดร. สมาพร ติญญนนท์ ก็สามารถตรวจพบและถ่ายภาพของซูเปอร์โนวา SN 2025rbs ได้ และเผยแพร่เป็นข่าวสำคัญในวงการดาราศาสตร์โลก โดยกล้องโทรทรรศน์อัตโนมัติของ สดร. ขนาด 0.7 เมตร ที่หอดูดาวเซียรา รีโมท สหรัฐอเมริกา
ในยุคสมัยก่อนจะมีกล้องโทรทรรศน์ มนุษย์จะทราบการเกิดซูเปอร์โนวาเฉพาะที่สว่างมากจริงๆ จนกระทั่งเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงมีการบันทึกไว้ไม่มาก แต่หลังการเกิดขึ้นของกล้องโทรทรรศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีกล้องโทรทรรศน์ยุคใหม่ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก และทำงานเป็นระบบร่วมกันจนกระทั่งเปรียบเสมือนกับกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่พอ ๆ กับโลก การค้นพบซูเปอร์โนวาก็เกิดขึ้นอย่างมาก จนกระทั่งเฉพาะในปี ค.ศ. 2025 มีรายงานการค้นพบซูเปอร์โนวามากถึงกว่า 20,000 ดวง และจึงมีการจัดระบบดาวเรียกชื่อของซูเปอร์โนวา เพื่อใช้ในการอ้างอิงอย่างละเอียดมากขึ้น
สำหรับซูเปอร์โนวา SN 2025rbs เป็นชื่อของซูเปอร์โนวา โดยตัวอักษร มีความหมายดังนี้ คือ อักษร SN หมายถึง supernova ส่วน rbs เป็นระบบตัวอักษรการเรียกซูเปอร์โนวาเพื่อบอกลำดับการค้นพบใน ปี ค.ศ. ตามระบุ SN 2025rbs จึงเป็นเสมือนกับ “ป้าย” บอกว่าเป็นซูเปอร์โนวาพบในปี ค.ศ. 2025 ตามลำดับตัวอักษรเป็น rbs
ซูเปอร์โนวาชนิด 1a ดัง SN 2025rbs มีความสำคัญสำหรับดาราศาสตร์ยุคใหม่ ในฐานะเป็น “เทียนมาตรฐาน” (standard candle) บอกระยะห่างของกาแล็กซีจากโลก และจึงบอกสภาพการเคลื่อนที่ของกาแล็กซีได้ ซึ่งทำให้ นักดาราศาสตร์ทราบว่า จักรวาลของเรา กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
การค้นพบซูเปอร์โนวา SN 2025 rbs เป็นผลงานแสดงถึงบทบาทและความสำคัญของวงการดาราศาสตร์ไทยและนักดาราศาสตร์ไทยในระดับโลก
โปรดติดตาม “10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ ปี 2025 (ตอน 2) ” กับ “วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต" ตอนต่อไป วันอาทิตย์ที่ 21 ธ.ค.นี้
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech




















