ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ ปี 2025 (ตอน 2)


วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

รศ. ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

แชร์

10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ ปี 2025 (ตอน 2)

https://www.thaipbs.or.th/now/content/3469

10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ ปี 2025 (ตอน 2)

ติดตามตอน 2 สำหรับ “10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ ปี2025” กับข่าวที่ 6-10 ต่อจากตอนที่แล้ว โดยในตอนที่ 2 นี้ จะเป็นข่าวระดับโลก 3 ข่าว ข่าวทั้งระดับโลกและประเทศไทยรวมเป็น 1 ข่าว และข่าวที่ 10 เป็นข่าวการจากไปของนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญระดับโลกในปี ค.ศ. 2025 หนึ่งคน

(6) ผลการมีสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี

วันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 คณะนักวิจัยแห่ง “เซเปียนแลบส์” (Sapien Labs) ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Human Development and Capabitities จากการศึกษาข้อมูลใหม่มากกว่า 100,000 ผลต่อสุขภาพจิตของคนเป็นผู้ใหญ่รุ่นใหม่ (young adult) อายุระหว่าง 18 ถึง 24 ปี ที่มีสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี ผลกระทบที่รุนแรงถึงการปลูกฝังความคิดเรื่อง ฆ่าตัวตาย

เซเปียนแล็บส์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2016 มีวัตถุประสงค์หลัก “เพื่อเข้าใจและช่วยการทำงานของจิตใจ” โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการตระหนักในความสำคัญของสุขภาพจิต (mental health) ทัดเทียมกับสุขภาพกาย (physical health)

เซเปียนแล็บส์ มีสำนักงานอยู่ที่เมือง อาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา แต่มีสำนักสาขาหรือหน่วยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยจำนวนมากทั่วโลก รวมทั้งที่มหาวิทยาลัยครีอา (Krea University) ประเทศอินเดีย

รายงานผลการศึกษาวิจัยชื่อ Protecting the Developing Mind in a Digital Age : A Global Policy Imperative (การปกป้องจิตใจกำลังเติบโตในยุคดิจิทัล : นโยบายเร่งด่วนระดับโลก) ใช้ข้อมูลจาก Global Mind Project (โครงการจิตใจโลก) ซึ่งถูกตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 2020 เพื่อรวบรวม-ติดตาม-ตรวจสอบ-สภาพจิต (ที่มากกว่าการป่วยทางจิต) ของประชากรโลกในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ด้วยวิธีการสำรวจ-ประมวล-ประเมินสุขภาพจิต เพื่อวัดความฉลาดทางสุขภาพจิต (Mental Health Quotient)

ความฉลาดทางสุขภาพจิต เรียกสั้น ๆ เป็น “เอ็มเอชคิว” (MHQ) คล้ายกับ ไอคิว (IQ) ความฉลาดทางปัญญา และ อีคิว (EQ) ความฉลาดทางอารมณ์ ตามแนวทางเรื่องสุขภาพจิตขององค์การอนามัยโลก (WHO) 

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 มา โครงการจิตใจโลกได้จัดทำและเผยแพร่ “Mental State of the World” ซึ่งเป็นสรุปรายงานประจำปีผลการสำรวจ “เอ็มเอชคิว” ระดับโลก

สำหรับรายงานที่เป็นเป้าหมายหลักของการศึกษาวิจัย เป็นผลการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจาก “โครงการจิตใจโลก”

สรุปผลการศึกษาที่สำคัญ คือ เด็กที่มีสมาร์ตโฟนตั้งแต่อายุน้อยกว่า 13 ปี มีแนวโน้ม-มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต เมื่อเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในระหว่าง 18 ถึง 24 ปี และคาดว่า จะผลติดตัวต่อไปถึงวัยเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว รวมไปถึงผลตลอดชีวิตด้วย

ปัญหาสุขภาพจิตที่ผลการศึกษาชี้ออกมา มีทั้งหมด 5 ข้อ จากข้อน่ากลัวที่สุด คือ (1) ความคิดเรื่องฆ่าตัวตาย (2) ความก้าวร้าว (3) ความแปลกแยกจากความเป็นจริง (4) การควบคุมอารมณ์ และ (5) ความภาคภูมิใจในตนเอง

ผลการศึกษาชี้ต้นเหตุของปัญหาว่า เกิดจากการที่เด็กได้มีสมาร์ตโฟนตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ได้สัมผัสเข้าถึงโซเชียลมีเดีย ตั้งแต่ยังไม่พร้อม ทำให้ต้องเผชิญกับ (1) การคุกคามทางเพศ (2) ปัญหาการนอนหลับ และ (3) ปัญหาความสัมพันธ์ภายในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

จากการศึกษาวิจัย คณะศึกษาวิจัยเสนอ 4 มาตรการเร่งด่วนต่อ “ผู้บริหารนโยบาย” (policy maker) เพื่อให้ใช้หรือออก “นโยบาย” “แนวทางปฏิบัติ” และ “บทลงโทษ” คือ (1) การจัดการศึกษาภาคบังคับในส่วนความเกี่ยวพันของสื่อดิจิทัลกับสุขภาพจิต (2) ให้ความสำคัญของการคุกคามผ่านสื่อดิจิทัล และความรับผิดชอบของบริษัทเจ้าของเทคโนโลยี (3) จำกัดการเข้าถึงสมาร์ตโฟนอย่างเป็นลำดับความเหมาะสมและจำเป็น

คณะวิจัยสรุปรวบยอดว่า 4 มาตรการที่เสนอนี้ จะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ (1) ฝ่ายการเมืองการปกครอง ในการออกมาตรการ, กฎระเบียบ, กฎข้อปฏิบัติและการบังคับใช้ และ (2) ฝ่ายสังคม คือ โรงเรียน, ครอบครัว, สื่อสังคมและเจ้าของหรือผู้ประกอบการเทคโนโลยีสมาร์ตโฟน

อ่านบทความ ผลการมีสมาร์ตโฟนก่อนอายุ 13 ปี : ผลวิจัยใหม่ !
 

(7) ยีนบำบัดช่วยเด็กตาบอดให้เห็นได้

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 คณะนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน หรือ ยูซีแอล (University College London : UCL) ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet รายงานความสำเร็จในการทำยีนบำบัดวิธีใหม่ ช่วยให้เด็ก 4 คนซึ่งเกิดมากับความผิดปรกติของยีนในตาชนิดรุนแรง ทำให้มองไม่เห็น สามารถมองเห็นได้เป็นครั้งแรก

คณะนักวิทยาศาสตร์ที่ยูซีแอล และโรงพยาบาลตามัวฟีลค์ส (Moorfields Eyes Hospital) ใช้วิธีการทำยีนบำบัดแบบใหม่กับเด็ก 4 คน ที่มีความผิดปรกติของตาชนิดรุนแรงตั้งแต่เกิด สาเหตุจากความผิดปรกติของยีน ทำให้ระบบการมองเห็นของตามีปัญหา คือ ตาของเด็กจะรับรู้ได้เฉพาะความสว่างกับความมืดเท่านั้น

ก่อนรับการบำบัด เด็กทั้ง 4 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 1.0-2.8 ปี ได้รับการวินิจฉัยว่า “ตาบอด” จากสาเหตุความผิดปรกติของยีนชื่อ เอพีไอแอล (APIL) ทำให้จอประสาทตาเรตินาเสื่อม (retina dystrophy)

วิธีการบำบัดที่คณะนักวิทยาศาสตร์ใช้ คือ การอาศัยไวรัสเป็นเวกเตอร์ (vector) นำยีนใหม่ที่ปรกติ เข้าไปทำงานแทนยีนผิดปรกติที่เรตินาโดยการฉีดก๊อบปี้ยีน เอพีแอล1 ที่ปรกติเข้าไปในเรตินาโดยตรง เป็นวิธีการที่พัฒนาขึ้นมาโดยคณะนักวิทยาศาสตร์ที่ยูซีแอลเอ และโรงพยาบาลตามัวร์ฟีลด์ และทดลองใช้เป็นครั้งแรกกับเด็ก 4 คนนี้

เพื่อวัตถุประสงค์สำหรับการประเมินผล คณะนักวิทยาศาสตร์จึงทำยีนบำบัดกับตาเพียงข้างเดียวของเด็กทั้ง 4 คน

ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและการทำยีนบำบัดของเด็ก 4 คน เป็นดังนี้

*เด็กคนที่ 1 เป็นหญิง เริ่มต้นการบำบัดขณะมีอายุ 2.6 ปี สรุปผล หลังการทำยีนบำบัดเป็นเวลา 4.1 ปี

*เด็กคนที่ 2 เป็นหญิง เริ่มต้นการบำบัดขณะมีอายุ 1.0 ปี สรุปผลหลังการบำบัดเป็นเวลา 3.4 ปี

*เด็กคนที่ 3 เป็นชาย เริ่มต้นการบำบัดขณะมีอายุ 1.0 ปี สรุปผลหลังการบำบัดเป็นเวลา 3.5 ปี

*เด็กคนที่ 4 เป็นชาย เริ่มต้นการบำบัดขณะมีอายุ 2.1 ปี สรุปผลการบำบัดเป็นเวลา 2 ปี

สรุปผลการทำยีนบำบัดของเด็กทั้ง 4 คน พบว่า ตาข้างที่ได้รับการบำบัด สามารถมองเห็นได้จริง และมีผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กทั้ง 4 คนอย่างชัดเจน

ส่วนตาอีกข้างของเด็กทั้ง 4 คน ที่ไม่ได้รับการบำบัด พบว่า สภาพการมองเห็นก็เสื่อมลงตามสภาพ และมีแนวโน้มจะบอดสนิท ถ้าไม่ได้รับการบำบัด

คณะนักวิทยาศาสตร์สรุปผลรวบยอดว่า วิธีการทำยีนบำบัดของคณะ ได้ผลตามความคาดหวัง นับเป็นอีกก้าวหนึ่ง เพิ่มวิธีใหม่ของการทำยีนบำบัดรักษาความผิดปรกติของจอภาพตาจากพันธุกรรม

อ่านบทความ "ยีนบำบัด" ช่วยเด็กตาบอดให้เห็นได้
 

(8) ดวงจันทร์ขึ้นทะเบียน “อนุสรณ์สถานโลก” และพระปรางค์อรุณขึ้น “บัญชีเบื้องต้น” มรดกโลก

ข่าวที่ 8 ประกอบด้วย 2 ข่าว เป็นข่าวระดับโลก 1 ข่าว เป็นข่าวเกี่ยวกับประเทศไทย 1 ข่าว

ข่าวที่หนึ่ง : วันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 2025 ดับเบิลยูเอ็มเอฟ (WMF) หรือ กองทุนอนุสรณ์สถานโลก (World Monuments Fund) ประกาศขึ้นทะเบียนแหล่งอนุสรณ์ใหม่ 25 แห่ง เป็น “อนุสรณ์สถานโลกต้องเฝ้าระวังประจำปี ค.ศ. 2025” (World Monuments Watch 2025) โดยมีดวงจันทร์เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานโลกที่ต้องเฝ้าระวังด้วย

ดับเบิลยูเอ็มเอฟ เป็นองค์กรเอกชนระดับโลกไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1965 มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์สถาปัตยกรรมประวัติศาสตร์และสถานที่มรดกทางวัฒนธรรมของโลก

โดยทุนสนับสนุนของเอกชนและการสนับสนุนของประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการทำงานร่วมกับยูเนสโก (UNESCO) ตรวจศึกษาอนุสรณ์สถานสำคัญทั่วโลกที่กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงจากการถูกคุกคามโดยภัยธรรมชาติ เช่น โลกร้อน การขยายถิ่นที่อยู่ของมนุษย์จากความแออัด การท่องเที่ยวและสงคราม

ถึงปี ค.ศ. 2025 ดับเบิลยูเอ็มเอฟ ได้ขึ้นทะเบียนรายชื่อทั้งหมดรวมมากว่า 500 แห่งทั่วโลก ใน 91 ประเทศ

ตัวอย่างอนุสรณ์สถานใหม่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยดับเบิลยูเอ็มเอฟปี ค.ศ. 2025 มีเช่น (1) โรงภาพยนตร์นามีบี (Cinema Studio Namibe) ประเทศแองโกลา (2) โบสถ์ซอร์บอน (Chapel of Sorbonne) กรุงปารีส (3) บ้านของครูกรุงเคียฟ (Kyiv Teacher’s House) และ (4) ดวงจันทร์

ดับเบิลยูเอ็มเอฟ อธิบายสาเหตุการขึ้นทะเบียนดวงจันทร์เป็นอนุสรณ์สถานโลกต้องเฝ้าระวังว่า การเดินทางของมนุษย์ไปดวงจันทร์ เปรียบได้กับการเดินทางไปสำรวจโลกใหม่ของมนุษย์ในอดีต ทั้งวัตถุสิ่งของ หลักฐานและร่องรอยบนดวงจันทร์ จากการลงสำรวจโดยมนุษย์บนดวงจันทร์กับโครงการอะพอลโล และร่องรอยหลักฐานของยานอวกาศและรถสำรวจดวงจันทร์ของประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นด้วย

แล้วสถานอนุสรณ์โลกบนดวงจันทร์ “มีความเสี่ยง” จาก “อะไร ?” ในเมื่อบนดวงจันทร์ไม่มีน้ำและลม ที่จะพัดทำลาย คำตอบของดับเบิลยูเอ็มเอชอย่างตรงๆ คือ ความเสี่ยงจาก “มนุษย์” ในรูปแบบของการตั้งอาณานิคมมนุษย์บนดวงจันทร์ , การขุดหาทรัพยากร (ทำเหมือง) และการท่องเที่ยว

ข่าวที่สอง : เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2025 ยูเนสโกได้ส่งหนังสือแจ้งทางการไทยว่า พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ได้รับการพิจารณาขึ้นทะเบียนใน “บัญชีเบื้องต้น” (Tentative List) เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2025 เป็นก้าวแรกที่สำคัญของพระปรางค์วัดอรุณฯ สู่การเป็น “มรดกโลก”

ก่อนการขึ้นบัญชีเบื้องต้นของพระปรางค์วัดอรุณฯ มีแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศไทยได้รับการขึ้น “บัญชีเบื้องต้น” ของยูเนสโกแล้ว 5 แห่ง คือ

(1) กลุ่มปราสาทเขาพนมรุ้ง ประเทศเมืองต่ำและปราสาทปลายบัด จ.บุรีรัมย์

(2) อนุสรณ์สถาน แหล่งและภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเชียงใหม่ นครหลวงล้านนา

(3) พระธาตุพนม สิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์และภูมิทัศน์ที่เกี่ยวข้อง จังหวัดนครพนม

(4) สงขลา และชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา

(5) วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช โดยมี “แหล่งธรรมชาติ” ได้รับการขึ้น “บัญชีเบื้องต้น” แล้ว 1 แห่ง คือ เขตอนุรักษ์ธรรมชาติทะเลอันดามัน

เมื่อได้รับการขึ้นบัญชีเบื้องต้นแล้ว กรมศิลปากรจะรับผิดชอบในการเตรียมเอกสาร เสนอต่อยูเนสโกภายในเวลา 5 ปี เพื่อการพิจารณาขึ้นทะเบียน พระปรางค์วัดอรุณฯ เป็นมรดกโลก (World heritage) ต่อไป

(9) หุ่นยนต์อุ้มบุญ : เรื่องจริงและจินตนาการ

วันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 2025 สำนักข่าวเกาหลีใต้ โซซุนบิส (Chosun Biz) เสนอข่าว “จีนพัฒนาหุ่นยนต์อุ้มบุญพร้อมมดลูกเทียม เพื่อช่วยคนมีบุตรยาก” โดยอ้างแหล่งข่าวจาก TIK TOK ของจีน คือ Douyin (โต๋วอิน) ที่ได้เผยแพร่การสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2025 ดร.จาง ฉีเฟิง (Zhang Qifeng) ผู้พัฒนาหุ่นยนต์อุ้มบุญและเป็นซีอีโอของ บริษัท Kaiwa Technology โดยมีกำหนดเปิดตัวหุ่นยนต์อุ้มบุญในปี ค.ศ. 2026

ดร.จาง ฉีเฟิง กล่าวว่า เขาได้พัฒนาหุ่นยนต์อุ้มบุญจนกระทั่งใกล้พร้อมจะเปิดบริการ ช่วยผู้หญิงมีบุตรยากในราคาน้อยกว่า 100,000 หยวน (ประมาณ 450,000 บาท) และมีบางสื่อรายงานว่า เขาได้เสนอผลงานของเขาต่อ The 10th World Robot Conference 2025 (การประชุมสัมมนาหุ่นยนต์โลกครั้งที่ 10 ค.ศ. 2025) ที่กรุงปักกิ่ง ระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคม ค.ศ. 2025

หลังการเสนอข่าวของสำนักข่าวเกาหลีใต้ เรื่องหุ่นยนต์อุ้มบุญของ ดร.จาง ฉีเฟิง ก็เป็นไวรัลข่าวไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสื่อใหญ่ระดับโลก เช่น New York Post และ Newsweek ก็ได้ร่วมเสนอข่าวนี้ด้วย ในวันที่ 17 และ 19 สิงหาคม ค.ศ. 2025 ตามลำดับ

จนกระทั่งถึงวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2025 ข่าวนี้ก็มีอาการสะดุด จากสำนักข่าว Snopes ซึ่งได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างลงลึก แล้ว Snopes ก็สรุปผลการตรวจสอบเป็นพาดหัวข่าววันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2025 ว่า “ไม่ , ไม่มี “หุ่นยนต์อุ้มบุญ” ในประเทศจีน ที่จะเป็นทางเลือกสำหรับการอุ้มบุญ”

ตามมาในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2025 Live Science ก็ได้พาดหัวข่าวคล้ายกับ Snopes ว่า “หุ่นยนต์อุ้มบุญจากประเทศจีน เป็นข่าวปลอม” โดยทั้ง Snopes และ Live Science รายงานว่า จากการตรวจสอบกับมหาวิทยาลัยนานยาง พบว่าไม่มีคนชื่อ ดร.จาง ฉีเฟิง จบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย และไม่มีการวิจัยเกี่ยวกับหุ่นยนต์อุ้มบุญตามที่ ดร.จาง ฉีเฟิง อ้างว่า ได้ทำที่นั่น แล้วก็ไม่มีชื่อและผลงานของ ดร.จาง ฉีเฟิง ในการเสนอผลงานกับการประชุมสัมมนาหุ่นยนต์โลกครั้งที่ 10 ที่กรุงปักกิ่ง

อ่านบทความ หุ่นยนต์อุ้มบุญ : เรื่องจริงและจินตนาการ

หลังการเสนอข่าวโดย Snopes และ Live Science ข่าวเรื่องของหุ่นยนต์อุ้มบุญจากประเทศจีน ก็ตกจากกระแส แต่ก็น่าสนใจว่า Live Science ถึงแม้จะออกมาชี้ชัดว่า หุ่นยนต์อุ้มบุญของ ดร.จาง ฉีเฟิง เป็นเรื่องไม่จริง แต่ก็มิได้จบเพียงสรุปผลการตรวจสอบ ยังได้เจาะประเด็นเรื่องเทคโนโลยีเพื่อการอุ้มบุญต่อ สรุปส่วนสำคัญได้ว่า...

ถึงแม้ข่าวเรื่องหุ่นยนต์อุ้มบุญของ ดร.จาง ฉีเฟิง จะเป็นข่าวปลอม แต่เทคโนโลยี เบื้องหลังหุ่นยนต์อุ้มบุญ ดังเช่น ของ ดร.จาง ฉีเฟิง ก็มิใช่เรื่องปลอมทั้งหมด...

ซึ่งก็น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะในส่วนหนึ่งความก้าวหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีให้ช่วยทำหน้าที่ “อุ้มบุญ” แก่ทารกมนุษย์จริงๆ ดังเช่น เทคโนโลยีช่วยให้เด็กคลอดก่อนกำเนิด ก็มีอยู่จริง ถึงแม้จะยังห่างไกลจากเทคโนโลยีอุ้มบุญเต็มขั้น คือ “หุ่นยนต์อุ้มบุญ”...

แต่ในอีกส่วนหนึ่ง และเป็น “ส่วนใหญ่” ทีเดียว คือ เทคโนโลยีหรือหุ่นยนต์อุ้มบุญเต็มตัวในโลกจินตนาการของนิยายวิทยาศาสตร์ ทั้งในหนังสือและภาพยนตร์

อย่างน่าสนใจ ในวันที่ Live Science สรุปผลการตรวจสอบว่า ข่าวเรื่องหุ่นยนต์อุ้มบุญจากประเทศจีนเป็นเรื่องปลอม Live Science ก็ได้เผยแพร่เรื่องหุ่นยนต์อุ้มบุญอีกเรื่องหนึ่ง พาดหัวข่าวว่า “ถ้าหุ่นยนต์อุ้มบุญเป็นเรื่องจริง แล้วคุณจะใช้บริการหรือไม่ ?” และเชิญชวนให้ผู้ติดตามร่วมโหวตและแสดงความคิดเห็น

วันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2025 Live Science ก็รายงานผลการโหวตและแสดงความคิดเห็นจากผู้ร่วมโหวตและแสดงความคิดเห็นประมาณ 180 คน สรุปได้ว่า

*มากที่สุด คือ 30% จะใช้บริการ ถ้ามั่นใจว่าลูกอุ้มบุญโดยหุ่นยนต์จะสมบูรณ์แข็งแรง

*ตามมาติดๆ คือ 29% มีความเห็นตรงกันข้าม คือ ไม่ใช้บริการ เพราะเป็นเรื่อง “ผิดจริยธรรม”

*11% ตอบ “จะใช้” โดยไม่ตั้งคำถามใดๆ

*8% ตอบ ไม่มั่นใจในเทคโนโลยีอุ้มบุญ

เจมส์ วัตสัน

(10) การจากไปของ เจมส์ วัตสัน

วันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2025 เจมส์ วัตสัน (James Watson) ถึงแก่กรรม

เจมส์ วัตสัน ได้ชื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์สำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลกแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ ได้รับสมญาเป็น “ก็อดฟาเธอร์ของดีเอ็นเอ” (Godfather of DNA) แต่ในช่วงปลายชีวิต (ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด) เจมส์ วัตสัน ก็ถูก “เมิน” และ “ลงโทษ” อย่างหนักจากวงการวิทยาศาสตร์ เพราะ “จุดยืนหลักคิด” ตัวตนของเขา

เจมส์ วัตสัน เป็นนักพันธุศาสตร์และนักฟิสิกส์ชีวภาพชาวอเมริกัน เกิดวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1928 ที่เมืองชิคาโก จบปริญญาเอกสัตววิทยาที่มหาวิทยาลัยอินเดียนา บลูมิงตัน (Indiana University Bloomington) ปี ค.ศ. 1950

ผลงานสำคัญที่สุดของ เจมส์ วัตสัน คือ ร่วมกับ ฟรานซิส คริกค์ (Francis Crick) เสนอทฤษฎีโครงสร้างดีเอ็นเอในโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตว่าเป็นแบบเกลียวคู่ ซึ่งเป็นที่รู้จักเรียกกันเป็น “เกลียวชีวิตคู่” (Double helix of life) ผลงานซึ่งทำให้ เจมส์ วัตสัน , ฟรานซิส คริกค์ และ มอริช วิลคินส์ (Maurice Wilkins) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ปี ค.ศ. 1962

ผลงานสำคัญอื่น ๆ ของ เจมส์ วัตสัน มีเช่น เป็นผู้อำนวยการ (director) , ประธาน (president) และ อธิการบดี (Chanceller) ของ Cold Spring Harbor Laboratory (CSHL : ห้องปฏิบัติการโคลด์สปริงฮาร์เบอร์) ที่ ลองไอแลนด์ นิวยอร์ก จากปี ค.ศ. 1968 เป็นเวลาประมาณ 50 ปี

ผลงานสำคัญอีกผลงานหนึ่งของ เจมส์ วัตสัน คือ การเป็นผู้อำนวยการ “โครงการถอดรหัสยีนมนุษย์” (Human Genome Project) มีเป้าหมายหลักเพื่อการถอดรหัสความเป็นตัวตนทั้งหมดของมนุษย์ ที่กำหนดจากพันธุกรรม คือ ยีนและดีเอ็นเอ

เจมส์ วัตสัน ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าโครงการถอดรหัสยีนมนุษย์จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1992 เขาก็ลาออกจากปัญหาความคิดที่ขัดแย้งกับผู้อำนวยการคนใหม่เกี่ยวกับเรื่องการจดสิทธิบัตรจากการค้นพบโดยโครงการ (เช่น ยีน, ดีเอ็นเอ) ว่า สมควรจดสิทธิบัตรหรือไม่ ?

สำหรับเรื่องการ “ถูกเมิน” และ “ลงโทษ” เจมส์ วัตสัน มีหลายเรื่อง แต่เรื่องใหญ่ที่สุด 2 เรื่อง คือ เรื่องการเหยียดผิว กับเรื่องการเหยียดเพศ

เรื่องแรก : จากการให้สัมภาษณ์สื่อตีพิมพ์ The Sunday Times ในปี ค.ศ. 2007 เจมส์ วัตสัน แสดงความกังวลกับอนาคตของแอฟริกา เพราะผลจากการทดสอบไอคิวระหว่างเชื้อชาติ (race) บอกเขาเช่นนั้น

ผลจากการให้สัมภาษณ์ ทำให้ CSHL ปลด เจมส์ วัตสัน ออกจากตำแหน่งอธิการบดี แต่ยังให้มีตำแหน่งเป็นอธิการบดีกิตติมศักดิ์ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2020 เจมส์ วัตสัน ก็ “ยืนยัน” ความคิดเห็นเรื่อง ชนชาติกับไอคิวของเขา ในการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ CSHL ก็ปลดเขาออกจากตำแหน่งอธิการบดีกิตติมศักดิ์และงานทั้งหมดของเขา ด้วยข้อกล่าวหาว่า “เจมส์ วัตสัน ใช้ผลจากการทดลองวิทยาศาสตร์กับความเชื่อส่วนตัวของเขา"

เรื่องที่สอง : เรื่องการเหยียดเพศของ เจมส์ วัตสัน เป็นที่ “ทราบกัน” ในกลุ่มผู้ร่วมงานและนักศึกษา แต่ที่ปรากฏเป็นเรื่องใหญ่ ก็คือ เรื่องเกี่ยวกับรางวัลโนเบลที่เขาและอีก 2 คนได้รับ ซึ่งผลงานเริ่มต้นจริงๆ มาจากนักฟิสิกส์หญิง โรซาลินด์ แฟรงค์กิน (Rosalind Franklin) ในภาพถ่ายการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction) ของดีเอ็นเอ ซึ่ง เจมส์ วัตสัน ได้เห็น และจึงเกิดความคิดเป็น “เกลียวชีวิตคู่” แต่ในการแสดงความคิดเห็น (จากการสัมภาษณ์และจากหนังสือ The Double Helix ของ เจมส์ วัตสัน ปี ค.ศ. 1968) ก็ถูกตีความชัดเจนว่า เจมส์ วัตสัน กีดกัน โรซาลินด์ แฟรงค์กลิน ที่สมควรอย่างยิ่ง จะเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบล

การ “ถูกเมิน” และ “ลงโทษ” มีผลต่อชีวิตและ การทำงานของ เจมส์ วัตสัน อย่างมาก จนกระทั่งเขาเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนเดียว ที่นำเหรียญรางวัลโนเบลออกขาย โดยผู้ซื้อเป็นเศรษฐีชาวรัสเซีย ซึ่งก็ได้มอบเหรียญโนเบลคืนแก่ เจมส์ วัตสัน

ถึงแม้ชีวิตบั้นปลายของ เจมส์ วัตสัน จะไม่สดใสนัก แต่เขาก็ยังเป็น “ก็อดฟาเธอร์แห่งดีเอ็นเอ” ที่มีอายุยืนยาวถึง 97 ปี และ CSHL ก็ไม่ลืม เจมส์ วัตสัน ไปเสียทั้งหมด เพราะในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2025 ก็มีเอกสารเผยแพร่รำลึกถึง เจมส์ วัตสัน กล่าวยกย่องบทบาทของ เจมส์ วัตสัน ในการทำให้ CSHL กลายเป็น “Think Thank” สำคัญสำหรับความก้าวหน้าของการวิจัยและนโยบายในหลายด้านเกี่ยวพันกับชีวิตและวิทยาศาสตร์การแพทย์ดังเป็นอยู่ในปัจจุบัน !

อ่านเพิ่มเติม 10 ยอดข่าววิทยาศาสตร์ ปี 2025 (ตอน 1)

อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS

“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech

แท็กที่เกี่ยวข้อง

Thai PBS Sci & Tech Thai PBS Sci And Tech Scienceวิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิตชัยวัฒน์ คุประตกุล
 รศ. ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

ผู้เขียน:  รศ. ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

นักวิทยาศาสตร์ และนักอนาคตศาสตร์ เจ้าของคอลัมน์ ​"วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต"

บทความ NOW แนะนำ