EN

แชร์

Copied!

ตรวจสอบแล้ว: คลิป TikTok อ้างทหารกัมพูชาหนีลงหลุมกลัวเสียง F-16 แท้จริงเป็นแค่คอนเทนต์ล้อเล่น ทำสื่อดังหลงเชื่อรายงานข่าว

3 ต.ค. 6814:45 น.
หมวดหมู่#ข่าวปลอม
ตรวจสอบแล้ว: คลิป TikTok อ้างทหารกัมพูชาหนีลงหลุมกลัวเสียง F-16 แท้จริงเป็นแค่คอนเทนต์ล้อเล่น ทำสื่อดังหลงเชื่อรายงานข่าว

Thai PBS Verify ตรวจสอบคลิปอ้างทหารกัมพูชากลัวเสียงเครื่องบินรบไทย ที่แท้เป็นคอนเทนต์ของคนไทยที่ทำคลิปล้อเลียนเท่านั้น ขณะที่สื่อช่องดังหลายช่องหลงเชื่อ นำคลิปดังกล่าวไปรายงานซ้ำ

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก : TikTok

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงโพสต์ปลอมอ้างทหารกัมพูชาตกใจเสียง F-16ภาพบันทึกหน้าจอแสดงโพสต์ปลอมอ้างทหารกัมพูชาตกใจเสียง F-16

Thai PBS Verify พบคลิปจากผู้ใช้ TikTok ชื่อ badstory960 โพสต์คลิปภาพชาย 3 คน สวมชุดลายพรางวิ่งหนีลงหลุมหลังได้ยินเสียงเครื่องบินรบ พร้อมข้อความระบุว่า “เขมรตื่นเสียง F-16 วันที่ 29 ก.ย. 68 กองบิน 1 โคราช ขึ้นฝึกบินตามวงรอบ ทำทหารเขมรสติแตกหนีตายกันจ้าละหวั่น” โดยคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้เข้าชมบางส่วนหลงเชื่อว่าเป็นคลิปจริง จนมียอดเข้าชมไปกว่า 620,000 ครั้ง แต่ก็มีผู้เข้าชมบางส่วน ระบุว่าคลิปดังกล่าวเป็นคลิปที่ถ่ายโดยคนไทย ซึ่งเผยแพร่ในเฟซบุ๊กที่ชื่อ “วัยรุ่นสะเร็น

Thai PBS Verify นำข้อความดังกล่าวมาทำการค้นหาด้วยคำสำคัญผ่าน Google จนพบว่าคลิปต้นฉบับถูกโพสต์โดยเฟซบุ๊กที่ชื่อ “วัยรุ่นสะเร็น” ซึ่งได้โพสต์คลิปดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อทำการตรวจสอบด้วยโปรแกรม InVID-WeVerify แยกเฟรมแต่ละภาพ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับคลิปที่มีการแอบอ้างพบว่า คลิปของผู้ใช้บัญชี badstory960 ตรงกับคลิปของ วัยรุ่นสะเร็น

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงคลิปปลอม (ซ้าย) เปรียบเทียบกับ ภาพบันทึกหน้าจอคลิปของเพจ “วัยรุ่นสะเร็น” (ขวา)

สื่อหลักขาดการตรวจสอบก่อนรายงาน

นอกจากนี้เมื่อนำภาพดังกล่าวมาค้นหาผ่าน Google Lens พบว่า คลิปดังกล่าวยังถูกสื่อหลักหลายแห่งนำไปรายงานข่าว โดยเข้าใจว่าคลิปดังกล่าวเป็นคลิปของทหารกัมพูชาที่วิ่งหลบเสียงเครื่องบินรบเป็นคลิปจริง

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงภาพที่สื่อหลักรายงานว่าคลิปดังกล่าวเป็นทหารกัมพูชาที่ตกใจเสียงเครื่องบิน F-16

ชายในคลิปยืนยันแค่คอนเทนต์ล้อเลียน

ทั้งนี้ Thai PBS Verify ติดต่อไปยัง ชายในคลิป ซึ่งยืนยันกับเราว่า คลิปดังกล่าวเป็นเพียงคอนเทนต์ล้อเลียนเพียงเท่านั้น แต่อาจถูกช่อง TikTok อื่น ๆ ดึงคลิปออกไปใช้ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องจริง

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงข้อความของเจ้าของเพจที่ยืนยันว่า คลิปดังกล่าวเป็นเพียงคอนเทนต์

ผลกระทบการนำเสนอข่าวปลอมของสื่อทำร้ายสังคมทางอ้อม

รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล  นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าวว่า Content Online ในปัจจุบัน เป็นการผสม ระหว่าง User Generated Content หรือ UGC ซึ่งเป็นยุคที่ใคร ๆ ก็ทำสื่อได้ ร่วมกับยุคที่ AI เข้ามาผสม โดยเฉพาะแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งจริง ๆ นั้น Fake News ถือเป็นเรื่องธรรมชาติของสื่อสังคมออนไลน์อยู่แล้ว เพราะเป็นยุคที่ใครก็สามารถผลิตสื่อขึ้นมาได้ แต่ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวกลับเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มเองก็มีการสนับสนุน Content Creator ยิ่งมี Engage มาก ก็จะยิ่งทำรายได้ให้กับ Content Creator เหล่านี้ จึงมีแนวโน้มที่ Content Creator จะหาอะไรก็ได้มานำเสนอ ไม่ว่าจะจริง ปลอม จะดีหรือไม่ ก็จะถูกนำมาสร้างเป็น Content เพื่อจะสร้าง Engage ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ จึงกลายมาเป็นเนื้อหาหล่อเลี้ยง ให้แพลตฟอร์มหาเงินให้กับ Content Creator เหล่านี้อยู่

รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล  นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สำหรับผลกระทบจากการสร้างรายได้แบบนี้ ถือเป็นการทำร้ายสังคม เนื่องจากกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา คอนเทนต์เนื้อหาลักษณะดังกล่าว เลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือกระทบต่อความเกลียดชังกัน แม้ว่าเนื้อหาจะไม่ได้มีการสร้างความเกลียดชัง แต่ข้อความที่ถูกถ่ายทอด แม้จะไม่ได้มีการสร้างผลกระทบในทันที แต่เมื่อเกิดข้อความตอบโต้หลาย ๆ ข้อความเกิดขึ้น มันก็จะสร้างบริบทให้เกิดความเกลียดชังเกิดขึ้นตามมา

ส่วนกรณีที่สื่อนำไปเล่นนั้น ต้องบอกว่า โดยปกติการที่ UGC ผลิตเนื้อหา หรือว่าเผยแพร่เนื้อหาเหล่านั้นออกไป ก็มักจะไม่กระจายออกไปสู่สาธารณะ เนื่องจาก Content เหล่านี้บางครั้งเป็น Local Content ซึ่งมักไม่เป็นที่รู้จัก แต่เมื่อสื่อนำไปเล่น เนื่องจากสื่อมีความเป็นศูนย์รวมของความน่าเชื่อถือ ศูนย์รวมของคนที่มาดูอยู่แล้ว จึงอาจทำให้เนื้อหานั้นดูน่าเชื่อถือขึ้นมา เพราะเหมือนกับสื่อคอนเฟิร์มว่าเป็นเรื่องจริง

ผลกระทบต่อมาคือ เมื่อสื่อเผยแพร่คลิปเหล่านั้น ก็ทำให้คลิปเหล่านั้นเกิดไวรัล เพราะสื่อทำหน้าที่เหมือนการการันตี ว่าคลิปนั้นเป็นคลิปจริง ซึ่งทั้งสองประเด็นยิ่งตอกย้ำว่า Content แบบนั้นเป็นเรื่องจริง และกลายเป็นว่า สื่อเป็นผู้เผยแพร่คลิปเหล่านั้นออกไป

ทั้งนี้จำเป็นที่แพลตฟอร์มจะต้องเข้ามาช่วยหยุดการเผยแพร่ Fake News ซึ่งสำหรับแพลตฟอร์มจากจีน เช่น TikTok ก็ถือว่ามีกฎหมายของจีนควบคุมอยู่แล้ว เช่นเดียวกับกฎหมายของไทย ที่มีกฎหมายควบคุมด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะข้อความอันเป็นเท็จที่สร้างผลกระทบกับสังคมโดยรวม หรือสร้างความเสียหายจริง ๆ สามารถดำเนินการด้วยกฎหมายได้ และแพลตฟอร์มก็ควรที่จะต้องลดการมองเห็น หรือหยุดการเผยแพร่ เนื่องจากลำพังรัฐหรือลำพังประชาชนทั่วไป ก็อาจจะไม่ทราบว่าเนื้อหาเหล่านี้เป็นเนื้อหาเท็จ

ขณะที่สื่อเองก็จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบเนื้อหาก่อนนำเสนอทุกครั้ง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อในปัจจุบันกลายเป็นเครื่องมือของ Content Creator ให้คนเหล่านี้ได้ Engage และการที่สื่อนำ Fake News มานำเสนอ ก็จะยิ่งทำให้ลดความน่าเชื่อถือของตัวเองลง ซึ่งความน่าเชื่อถือของสื่อถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

กระบวนการตรวจสอบ

  • สืบค้นจากคลิป 
    • พบการให้ข้อมูลของผู้แสดงความคิดเห็น ระบุว่าคลิปดังกล่าวเป็นเพียงคอนเทนต์ของเพจเฟซบุ๊กชื่อ “วัยรุ่นสะเร็น”
  • ใช้เครื่องมือสืบค้นย้อนกลับ (Reverse Search)

    • ใช้เครื่องมืออย่าง Google Search เพื่อค้นหาคำสำคัญ “วัยรุ่นสะเร็น” จนพบว่าเป็นเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่ง

    • นำคลิปในเพจ “วัยรุ่นสะเร็น” มาตรวจสอบผ่าน InVID-WeVerify เพื่อแยกคีย์เฟรมจากวิดีโอและตรวจสอบกับคลิปที่อ้างว่าเป็นคลิปทหารกัมพูชาหลบหนีเสียงเครื่องบนรบ จนพบว่าคลิปทั้งสองเป็นคลิปเดียวกัน

  • ยืนยันข้อเท็จจริงกับเจ้าของคลิป

    • Thai PBS Verify ติดต่อเจ้าของคลิป และได้รับการยืนยันว่า “เป็นแค่คอนเทนต์ล้อเลียน”

ผลกระทบของข้อมูลเท็จเหล่านี้

  • ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบเกิดความเข้าใจผิด
    • คลิปปลอมที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าคลิปดังกล่าวเป็นทหารกัมพูชาที่หลบเสียงเครื่องบินรบจริง ๆ
    • การที่สื่อบางแห่งนำคลิปไปเผยแพร่โดยไม่ตรวจสอบ และกระจายข่าวปลอมโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ผู้ชมเข้าใจผิด และเชื่อว่าคลิปนั้นเป็นคลิปจริงเพราะสื่อเป็นผู้เผยแพร่ ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบในวงกว้าง
  • ผลกระทบต่อสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    • กรณีนี้อาจกระทบความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และปลุกปั่นความเกลียดชัง

    • แม้จะไม่ได้มีเจตนาโดยตรง แต่การตอบโต้กันในคอมเมนต์ หรือการตีความผิดซ้ำ ๆ อาจทำให้เกิดบรรยากาศของความขัดแย้ง

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

  • หยุดและคิดก่อนแชร์

    • พิจารณาว่าแหล่งข่าวน่าเชื่อถือหรือไม่

    • หากข้อมูลดูน่าตกใจ หรือรุนแรงเกินจริง ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน

    • อย่าใช้เพียง “จำนวนยอดวิว” หรือ “ยอดแชร์” เป็นเกณฑ์ความจริง เพราะจำนวนการแชร์หรือคอมเมนต์ไม่ได้หมายถึงความถูกต้องของเนื้อหา

  • ตรวจสอบจากหลายแหล่ง

    • ค้นหาข่าวหรือคลิปเดียวกันจากแหล่งอื่น

    • ใช้ Google, YouTube หรือเครื่องมือ Fact-Check เช่น Google Lens ค้นหาว่าข่าวหรือคลิปที่พบเคยถูกเผยแพร่มาก่อนหรือไม่

  • รายงานเนื้อหาที่สงสัยว่าเป็นข่าวปลอม

    • ใช้ฟังก์ชัน “Report” ของแพลตฟอร์ม เช่น TikTok, Facebook เพื่อระงับหรือหยุดการเผยแพร่คลิปไม่ให้เผยแพร่ต่อไป