EN

แชร์

Copied!

ตรวจสอบแล้ว: โพสต์อ้าง “กองทัพบก” สั่งทหารเคลื่อน “กำลัง-อาวุธ” ประจำจุดเตรียมพร้อมบุก ทบ.ยันข่าวปลอม

24 ก.ย. 6814:57 น.
การเมือง#ข่าวปลอม
ตรวจสอบแล้ว: โพสต์อ้าง “กองทัพบก” สั่งทหารเคลื่อน “กำลัง-อาวุธ” ประจำจุดเตรียมพร้อมบุก ทบ.ยันข่าวปลอม

เพจเฟซบุ๊กซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 72,000 คน โพสต์ข้อความอ้าง กองทัพบกเคลื่อนกำลังพลและอาวุธประชิดชายแดน รอคำสั่งพร้อมบุก จนทำให้มีผู้คนแชร์ไปกว่า 370 ครั้ง Thai PBS Verify ตรวจสอบผ่านกองทัพบกยืนยันเป็นข่าวปลอม ระบุการสับเปลี่ยนกำลังเป็นเรื่องปกติ

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาข่าวปลอมจาก : Facebook

โพสต์อ้างกองทัพบกสั่งทหารเคลื่อน “กำลัง-อาวุธ” ประจำจุดเตรียมพร้อมบุก

Thai PBS Verify พบบัญชีเฟซบุ๊กซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 72,000 คน โพสต์ข้อความระบุว่า “ด่วน ‼️‼️ สนุกแน่ เปิดมา ถึง พนมเปญ ชัวร์ ด่วน Royal Thai Army 21 ก.ย. 68 มีคำสั่งด่วน ทหารไทยทุกหน่วย ประจำที่ตั้งด่วน + ทุกจุดพร้อมตอบโต้ + เคลื่อนกำลัง+ยุทโธปกรณ์ รอคำสั่งเปิดเกมเต็มระบบ ทหารประชิดชายแดนล็อกเป้าทุกจุด” โดยโพสต์ดังกล่าวถูกโพสต์เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา มีผู้เข้ามาแสดงความรู้สึกไปถึง 3,900 ครั้ง รวมถึงถูกแชร์ไปกว่า 370 ครั้งด้วยกัน โดยผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริง

เพจกองทัพบกยันชัดกำลังพลยังคงประจำจุด

จากการตรวจสอบกับ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งสรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ประจำวันที่ 21 ก.ย. 68 (ณ เวลา 14.00 น.) ระบุว่า “ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทย จัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์”

ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์ประจำวันที่ 21 ก.ย. 68 ระบุ กองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง

รองโฆษกกองทัพบกชี้ไม่มีรายงาน

ด้าน พ.อ. ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ยืนยันกับ Thai PBS Verify ว่าปัจจุบันยังไม่ได้รับรายงาน ส่วนโพสต์ดังกล่าวเป็นเพียงข่าวปลอม เนื่องจากกองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ส่วนการสับเปลี่ยนกำลังถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติ

พ.อ. ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก

ยอด Engagement ส่งเสริมการสร้างข่าวปลอม

รศ. พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล นักวิจัยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความคิดเห็นถึงโพสต์ดังกล่าวว่า การสร้าง Fake News มักจะมีลักษณะ ได้แก่ 1. เพจเหล่านี้มักจะสร้าง Content ที่เรียกยอด Engagement ซึ่งยอด Engagement เหล่านี้ สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นรายได้จากแพลตฟอร์ม ซึ่งการทำ Content ในลักษณะดังกล่าว สามารถทำได้ทั้งด้วยความตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่สำหรับ Content ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา มักสร้าง Engagement ได้ค่อนข้างสูง รวมถึงสามารถสร้างความสนใจของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการติดตาม หรือเข้ามาแสดงความคิดเห็น ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เพจเหล่านี้ เลือกที่จะทำข่าว Fake News จากความขัดแย้ง

2. อาจจะเกิดจากการทำข่าวในลักษณะของ ยุทธการทางข้อมูลข่าวสาร หรือ Information Operation ที่เรียก สั้น ๆ ว่า IO ที่อาจจะสร้างข้อมูลดังกล่าวมาเพื่อต้องการสร้างความสับสน หรือวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจากกองทัพ หรือจากผู้ที่ถูกจ้างจากฝ่ายการเมือง หรือผู้มีอำนาจ ซึ่งก็อาจจะทำให้ข้อมูลเหล่านี้สร้างความสับสนในสังคมได้

รศ. พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล นักวิจัยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทั้งนี้หากมีการปล่อยข่าวที่ไม่มีแหล่งข่าวอ้างอิงออกมาในลักษณะนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะส่งผลกับสังคมโดยรวม โดยเฉพาะการสร้างความสับสนให้กับผู้คน ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ โดยอาจสามารถสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน ต่อมาคือ การเผยแพร่ความลับของทางราชการ ซึ่งเมื่อมีการนำมาเผยแพร่ อาจจะสร้างความสับสนให้กับผู้ปฏิบัติงานได้ แม้ว่าข้อมูลที่เผยแพร่นั้น จะมีจริงหรือไม่ก็ตาม

นอกจากนี้ยังถือเป็นการสร้างพื้นที่หรือสนับสนุนให้เกิดความเกลียดชัง เพราะต้องยอมรับว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้ สร้างความรู้สึกเกลียดชังให้กับคนทั้ง 2 ประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งเมื่อมีการสร้างโพสต์ในลักษณะดังกล่าวออกมา แม้จะเป็นเพียงการรายงานสถานการณ์ แต่โพสต์เหล่านี้ก็ถือเป็นพื้นที่ ให้ผู้คนที่มีความรู้สึกชาตินิยม ได้มีพื้นที่ออกมาแสดงความรู้สึกด้วยเช่นเดียวกัน

กระบวนการตรวจสอบ

ระบุต้นตอ: เริ่มต้นจากการระบุแหล่งที่มาของข่าวปลอม ซึ่งในกรณีนี้คือเพจเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก แต่ไม่มีการอ้างอิงแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ

ตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: ติดต่อสอบถามไปยังหน่วยงานหลักที่ถูกอ้างถึงโดยตรง ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 และรองโฆษกกองทัพบก ซึ่งทั้งสองหน่วยงานยืนยันว่า ไม่มีรายงานการเคลื่อนกำลังพลและอาวุธตามที่ถูกกล่าวอ้าง โดยสถานการณ์ยังคงเป็นการประจำจุดตามปกติ และการสับเปลี่ยนกำลังพลเป็นเรื่องปกติที่ทำอยู่แล้ว

ผลกระทบเมื่อได้รับข้อมูลเท็จ

สร้างความแตกตื่นและตื่นตระหนก: ข่าวปลอมในลักษณะนี้สามารถสร้างความเข้าใจผิดให้กับสาธารณชน ว่ากำลังจะเกิดความขัดแย้งรุนแรง ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนกและวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น

บั่นทอนความน่าเชื่อถือของกองทัพ: การอ้างชื่อหน่วยงานราชการโดยไม่มีมูลความจริง ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในข้อมูลทางการ และอาจนำไปสู่การไม่เชื่อถือในหน่วยงานหลักของประเทศ

ผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นส่วนหนึ่งเชื่อว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริง

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

หยุดแชร์และตรวจสอบทันที: เมื่อเห็นข่าวที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความมั่นคงหรือเหตุการณ์สำคัญที่สร้างความตื่นตระหนก ควรหยุดการแชร์ต่อทันทีและหาข้อมูลจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม

ตรวจสอบแหล่งที่มา: หากข้อมูลมาจากเพจหรือบัญชีที่ไม่ใช่สื่อหลักหรือหน่วยงานทางการ ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเสมอ

อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้: เลือกติดตามข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลหรือสื่อที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งมีกลไกในการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลที่ถูกต้องก่อนเผยแพร่

สังเกตคำหรือข้อความที่สร้างความตื่นตระหนก: ข่าวปลอมมักใช้คำว่า “ด่วน” หรือข้อความที่กระตุ้นอารมณ์ให้ผู้รับสารเชื่อโดยไม่ทันได้คิดวิเคราะห์