Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก : TikTok

ภาพบัญชี TikTok อ้างนายกอนุทินยกเลิกเบี้ยผู้สูงอายุ
หลังจากที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หนึ่งในภารกิจเร่งด่วนคือการขับเคลื่อน นโยบายด้านการเงิน ทั้งการออกนโยบายใหม่ รวมถึงการนำนโยบายเดิมที่เคยได้ผลดี กลับมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ก็มีกระแสข่าวว่านโยบายบางอย่างอาจถูกปรับลดงบประมาณลง เช่น เงินเบี้ยผู้สูงอายุ
Thai PBS Verify พบบัญชี TikTok ชื่อ คำปุ่น หอมเนตร มีการกล่าวถึง นายกอนุทินจะยกเลิกเบี้ยคนชรา ระบุว่า “อนุทิน1 จะยกเลิกเบี้ยคนชราภาษีกู” คลิปดังกล่าวมีผู้ให้ความสนใจเข้าชม 952,000 ครั้ง มีการแสดงความรู้สึกเห็นด้วย 6,876 ครั้ง และการแสดงความคิดเห็น 1,001 ครั้ง ซึ่งคอมเมนต์บางส่วนไม่เห็นด้วยที่มีการยกเลิก และมองว่าจะไม่เลือกตั้งให้นายอนุทิน เป็นนายกในสมัยต่อไป
วิวัฒนาการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ระบบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นในปี 2535 ภายใต้แนวคิดการสงเคราะห์ผู้สูงอายุที่ยากจน โดยรัฐบาลจัดสรรเงินช่วยเหลือให้เฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย ต่อมาในปี 2540 ได้มีการปรับปรุงเงื่อนไขการให้สิทธิ เช่น การเพิ่มอัตราเงินช่วยเหลือและการปรับเกณฑ์รายได้ เพื่อให้ครอบคลุมผู้สูงอายุที่มีความเดือดร้อนมากขึ้น
จนในปี พ.ศ. 2552 ประเทศไทยได้เริ่มต้นระบบ “เบี้ยยังชีพถ้วนหน้า” อย่างเป็นทางการ โดยรัฐบาลประกาศให้ผู้สูงอายุทุกคนที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์สามารถขึ้นทะเบียนรับเบี้ยยังชีพได้โดยไม่ต้องพิสูจน์ฐานะยากจน ยกเว้นผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐอยู่แล้ว ทำให้มีจำนวนผู้รับเบี้ยเพิ่มขึ้นกว่า 5.6 ล้านคน หรือ 80% ของผู้สูงอายุทั้งหมด
หลังจากนั้นรัฐบาลได้ปรับอัตราเบี้ยให้แตกต่างตามช่วงอายุ และมีการพูดถึงแนวทางยกระดับระบบให้กลายเป็น “บำนาญพื้นฐานถ้วนหน้า” เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมผู้สูงอายุที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น
เนื้อหาหลักของประกาศ กำหนดให้ผู้มีสิทธิรับเงินต้องมีสัญชาติไทย มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอตามเกณฑ์ของคณะกรรมการผู้สูงอายุ สิทธิในการรับเงินเบี้ยยังชีพจะสิ้นสุดลงหากผู้สูงอายุเสียชีวิต ขาดคุณสมบัติ หรือแจ้งสละสิทธิ แต่หากมีการรับเงินโดยสุจริตแม้ไม่มีสิทธิจริง หน่วยงานท้องถิ่นจะระงับการจ่ายต่อไปโดยไม่เรียกเงินคืน ทั้งนี้ ผู้ที่ขึ้นทะเบียนและได้รับเบี้ยอยู่ก่อนหน้าระเบียบนี้จะยังคงมีสิทธิรับเงินต่อไปตามเดิม
เครือข่ายภาคประชาชนประท้วงคัดค้านระเบียบใหม่
เครือข่ายภาคประชาชนหลายกลุ่ม เช่น เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และ We Fair ออกมาคัดค้าน พร้อมยื่น 5 ข้อเรียกร้อง ได้แก่ ยกเลิกระเบียบใหม่และกลับไปใช้ระบบถ้วนหน้า, คณะกรรมการผู้สูงอายุต้องปกป้องสิทธิไม่ให้ลดลง, ผลักดันให้เบี้ยยังชีพเป็นบำนาญถ้วนหน้าที่มีกฎหมายรองรับ, กระทรวงการคลังหางบเพิ่มโดยเก็บภาษีใหม่ ๆ และรัฐบาลต้องบรรจุรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าในรัฐธรรมนูญ
ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา
Thai PBS Verify ได้เข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา พบว่า มีการประกาศ หลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 66 จริงเช่นกัน

ภาพเนื้อหา หลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ในประกาศราชกิจจานุเบกษา
ผู้สูงอายุได้รับเงินเหมือนเดิมแต่ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ชี้แจงกรณีระเบียบใหม่การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ พ.ศ. 2566 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยย้ำว่าผู้สูงอายุยังได้รับเงินเหมือนเดิม พร้อมอธิบายที่มาของการแก้ไขมาจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องการจ่ายเบี้ยยังชีพที่ซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น จึงต้องปรับให้สอดคล้องกับกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติม ไม่ใช่ฉวยโอกาสออกระเบียบในช่วงรัฐบาลรักษาการ ส่วนผู้ที่จะมีสิทธิรายใหม่เมื่ออายุครบ 60 ปี จะต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติยังไม่ได้กำหนดคุณสมบัติชัดเจน ดังนั้นผู้ที่รับเบี้ยอยู่เดิมยังคงได้รับเหมือนเดิมทุกประการ และการกำหนดหลักเกณฑ์ผู้มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยยึดหลักความทั่วถึงและเป็นธรรม
อนุทิน เปิด 5 ภารกิจเร่งด่วน เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ–สังคม–ความมั่นคง เตรียมใช้คนละครึ่งพลัส

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย
Thai PBS Verify ตรวจสอบคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 พบว่า มีนโยบายทั้งหมด 5 ด้านรวม 15 ข้อ ซึ่งไม่มีการกล่าวถึงเรื่องตัดหรือเพิ่มเงินผู้สูงอายุและไม่มีการพูดถึงนโยบายเกี่ยวกับผู้สูงอายุ พบเพียงนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการ “คนละครึ่งพลัส” สร้างรายได้และลดรายจ่ายเท่านั้น
ภูมิใจไทย ยืนยันไม่ยกเลิกเบี้ยผู้สูงอายุ

ภาพจากยูทูบ News NBT2HD รายงานข่าวรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงไม่ได้ยกเลิกเบี้ยผู้สูงอายุ
ด้านนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง รัฐบาลไม่มีแนวคิดที่จะยกเลิกโครงการนี้ มีแต่จะพิจารณาเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้สูงอายุ พร้อมย้ำให้ทุกคนสบายใจได้ว่าเงินเบี้ยยังชีพยังคงได้รับเหมือนเดิม โดยปัจจุบันยังใช้หลักเกณฑ์เดิม คือ อายุ 60–69 ปี ได้รับ 600 บาทต่อเดือน, อายุ 70–79 ปี ได้รับ 700 บาทต่อเดือน, อายุ 80–89 ปี ได้รับ 800 บาทต่อเดือน และอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับ 1,000 บาทต่อเดือน
ขณะเดียวกัน นาย พลพีร์ สุวรรณฉวี ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย ออกมาชี้แจงกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เตรียมยกเลิก เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นเพียงข่าวปลอมที่บิดเบือนข้อเท็จจริง
พร้อมย้ำว่า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นสวัสดิการพื้นฐานสำคัญต่อคุณภาพชีวิต และรัฐบาลจะไม่ละทิ้งมาตรการนี้อย่างแน่นอน ทั้งยังเตรียมพิจารณาขยายสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย
เรื่องจริงเป็นอย่างไร
เนื่องจากมีการประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 66 โดยเนื้อหาหลักจะจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้ หรือรายได้ไม่เพียงพอเท่านั้น ทำให้มีกระแสความไม่พอใจในหลักเกณฑ์จำนวนมาก
ทั้งนี้ “นโยบายตัดเบี้ยคนชรา” ที่กล่าวถึงในคลิปนั้น ไม่ใช่การตัดสิทธิผู้สูงอายุเดิมทั้งหมด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการรับเบี้ยยังชีพ จากการจ่ายแบบถ้วนหน้า เป็นการจ่ายแบบมีเงื่อนไข เน้นกลุ่มผู้ที่ยากจนจริงเท่านั้น เพื่อให้มีรายได้พอเพียงไม่เป็นภาระแก่ลูกหลาน และได้รับสิทธิในการมีรายได้พื้นฐานสำหรับการยังชีพ
ขณะเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว. กระทรวงมหาดไทย ได้มีการแถลงนโบายและเริ่มงานในฐานะรัฐบาล จึงทำให้หลักเกณฑ์เรื่องเบี้ยผู้สูงอายุกลับมาพูดถึงในโซเชียลอีกครั้ง