Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก: Facebook
เพจเฟซบุ๊กชื่อ Online Progress strive for technology crimes ยิงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊กอ้างคืนเงินผู้เสียหายจากการถูกหลอก
Thai PBS Verify ตรวจสอบพบเพจเฟซบุ๊กชื่อ Online Progress strive for technology crimes ยิงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุข้อความว่า “เปิดให้ผู้เสียหายรับสิทธิ 3 ขั้นตอนง่าย ๆ 1. รวบรวมหลักฐาน 2. ส่งให้เจ้าหน้าที่่เพื่อตรวจสอบ 3. ตรวจสอบเสร็จรับทรัพย์คืนได้ทันที สามารถติดต่อแจ้งเบาะแสทางเพจ” ซึ่งภายในโฆษณาดังกล่าวมีเสียงระบุว่า “ผู้เสียหายไปรับเงินคืนผ่านตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 800,000 บาท นะคะ หลังจากมีมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน” พร้อมกับภาพของ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (คลิกที่นี่เพื่อดูลิงก์บันทึก)
Thai PBS Verify ตรวจสอบเพจดังกล่าว พบว่า ถูกสร้างเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นเพจครีเอเตอร์ดิจิทัล มีการสร้างภาพโปรไฟล์ให้เหมือนหน่วยงานราชการ โดยใช้ชื่อในภาพโปรไฟล์ว่า “หน่วยงานความปลอดภัยและการป้องกันออนไลน์ ONLINE SAFETY AND PROTION AGENCY” ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวไม่มีอยู่จริง
ภาพบันทึกหน้าจอแสดงความโปร่งใสของเพจที่พบว่าเพจดังกล่าวเพิ่งถูกสร้างไม่นาน
ขณะที่เมื่อนำข้อมูลจากเสียงในโฆษณาดังกล่าวมาตรวจสอบผ่านการค้นหาคำสำคัญผ่าน Google Search Engine เราพบว่าเสียงดังกล่าว เป็นเสียงจากการรายงานข่าวของ Thai PBS ซึ่งเป็นข่าว “สอท.คืนเงินผู้เสียหาย 8 แสนบาท หลังถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน” ที่เผยแพร่ผ่านยูทูบ เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา (คลิกที่นี่เพื่อดูลิงก์บันทึก)
ชมคลิปปลอมที่นำมาหลอกลวง
คลิปจริงเป็นอย่างไร?
ทั้งนี้พบว่า มีประชาชนบางส่วนได้ทักข้อความเข้าไปยังช่องแสดงความคิดเห็นของโฆษณาดังกล่าว และพบการตอบกลับที่อ้างว่า รับลงทะเบียนสิทธิ์ที่ถูกฉ้อโกงอาชญากรรมทางออนไลน์อีกด้วย
เพจปลอมตอบกลับคอมเมนต์โดยอ้างว่ารับลงทะเบียนขอรับเงินคืน
ผลกระทบจากการถูกแอบอ้างเป็นอย่างไร?
เราตรวจสอบไปยัง นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ถูกนำภาพดังกล่าวมาแอบอ้าง ซึ่ง นายวสันต์ ระบุว่า การที่ถูกมิจฉาชีพนำภาพไปใช้ถือว่าส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากการนำภาพหรือชื่อไปใช้โดยไม่รู้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของเรา และการนำไปใช้โดยเฉพาะในทางที่ผิด หรือในทางที่ไม่เหมาะสม เช่นการหลอกลวงให้ลงทุน ย่อมส่งผลกระทบต่อเกียรติและชื่อเสียง รวมไปถึงเรื่องของภาพลักษณ์หรือความเป็นส่วนตัว ซึ่งผู้ที่หลงเชื่อและไม่ได้เอะใจ ก็อาจจะพลาดพลั้งจนถูกหลอก
วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ที่ผ่านมาเคยถูกนำภาพไปใช้ในลักษณะของการนำทั้งภาพนิ่ง หรือกิจกรรมที่เคยแถลงข่าว รวมไปถึงรูปภาพของตนเองและครอบครัวไปใช้ไป จนถึงการนำโปรไฟล์ไปหลอกด้วยการดัดแปลงชื่อ หรือการเปลี่ยนชื่อเป็นชื่ออื่น แต่นำภาพโปรไฟล์ของตนเองไปใช้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการแจ้งความไว้แล้วราว 4-5 ครั้ง
ทั้งนี้ขอเตือนประชาชนที่พบเห็นโพสต์หรือคลิปลักษณะดังกล่าว ให้ตั้งข้อสงสัยหรือเอ๊ะไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นภาพของตนเองหรือของใคร ที่ไปปรากฏในลักษณะชักชวนให้ทำอะไรที่อาจจะเสียเงิน หรือเสียหาย ต้องพยายามตรวจสอบดูว่าเพจเหล่านั้นมีจริงหรือไม่ หรือตรวจสอบว่าภาพดังกล่าวนั้นเป็นภาพของใคร หรือเรื่องที่ดูดีเกินจริง ก็จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบและไม่บุ่มบ่าม รวมถึงสอบถามกับคนที่รู้จักเพื่อป้องกันการถูกหลอก
ถูกหลอกขอเงินคืนอย่างไร?
พ.ต.ต. พากฤต กฤตพงษ์ รองโฆษก บก.สอท.2 ให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS Verify ถึงประเด็นดังกล่าวว่า การคืนเงินให้กับผู้เสียหายในคดีถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพปัจจุบันมีการคืนในโครงการ Money Cash Back แต่จะต้องเกิดจากการที่มีการอายัดได้ทันและเส้นเงินไม่มีการเจือปน ซึ่งเมื่ออายัดเงินดังกล่าวทันแล้วก็จะมีการหยุดเส้นเงินนั้นไว้และนำเงินดังกล่าวมาคืนให้กับผู้เสียหาย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนที่เรียกว่า Money Cash Back (คลิกที่นี่เพื่อดูลิงก์บันทึก)
พ.ต.ต. พากฤต กฤตพงษ์ รองโฆษก บก.สอท.2
สำหรับการยื่นหลักฐานโดยปกติแล้วจะไม่มีการยื่นผ่านเฟซบุ๊ก 100% ซึ่งโครงการคืนเงินให้กับผู้เสียหายนั้นจะเกิดจากการที่
- ผู้เสียหายได้มีการโทรศัพท์มาอายัดเงินที่เบอร์โทรศัพท์ 1441 ได้ทัน
- คือการเดินทางมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนจะประสานกับธนาคารเพื่อจะคืนเงินให้กับผู้เสียหาย
ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกไปแล้วนั้น การขอเงินคืนจะมีช่องทางในการติดต่อคือ
- ติดต่อผ่าน www.thaipoliceonline.go.th ซึ่งเป็นระบบรับแจ้งความสำหรับผู้เสียหายจากการถูกมิจฉาชีพหลอกลวง
- ผู้เสียหายจะต้องเดินทางไปที่สถานีตำรวจเพียงเท่านั้น
ท้ายที่สุดขอให้สังเกตไว้เสมอว่า จะไม่มีตำรวจติดต่อผ่าน Facebook หรือจะเปิดกล้องคุยไลน์กับผู้เสียหายโดยเด็ดขาด ยืนยันว่า การติดต่อกับผู้เสียหายทั้งสองลักษณะนั้นไม่มีอยู่จริง และจะไม่มีการขอให้ผู้เสียหายโอนเงินไปตรวจสอบ โดยหากผู้เสียหายต้องการพบเจ้าหน้าที่ จะต้องไปพบที่สถานีตำรวจเพียงเท่านั้น และจะไม่มีการขอสำเนาเอกสารใด ๆ เพื่อติดต่อทนายผ่าน Facebook ซึ่งหากพบเจอเพจหรือโฆษณาลักษณะนี้ ขอให้รู้ทันทีว่ากลุ่มคนเหล่านี้คือมิจฉาชีพ









