Loading...

แชร์

Copied!

“เพจปลอม” โผล่สวมรอย กสม. ยิงโฆษณาลวงเหยื่ออ้างคืนเงินผู้เสียหาย

5 พ.ย. 6816:09 น.
สังคมและสุขภาพ#ข่าวปลอม
“เพจปลอม” โผล่สวมรอย กสม. ยิงโฆษณาลวงเหยื่ออ้างคืนเงินผู้เสียหาย

Thai PBS Verify ตรวจสอบพบ "เพจปลอม" ยิงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก สวมรอยเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อ้างเปิดให้ผู้เสียหายละทะเบียนรับสิทธิขอคืนเงินจากการถูกหลอก เตือนอย่าหลงเชื่อเพราะนี่คือมิจฉาชีพของแท้

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก: Facebook

เพจปลอม

เพจเฟซบุ๊กชื่อ Online Progress strive for technology crimes ยิงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊กอ้างคืนเงินผู้เสียหายจากการถูกหลอก

Thai PBS Verify ตรวจสอบพบเพจเฟซบุ๊กชื่อ Online Progress strive for technology crimes ยิงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุข้อความว่า “เปิดให้ผู้เสียหายรับสิทธิ 3 ขั้นตอนง่าย ๆ 1. รวบรวมหลักฐาน 2. ส่งให้เจ้าหน้าที่่เพื่อตรวจสอบ 3. ตรวจสอบเสร็จรับทรัพย์คืนได้ทันที สามารถติดต่อแจ้งเบาะแสทางเพจ” ซึ่งภายในโฆษณาดังกล่าวมีเสียงระบุว่า “ผู้เสียหายไปรับเงินคืนผ่านตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 800,000 บาท นะคะ หลังจากมีมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน” พร้อมกับภาพของ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (คลิกที่นี่เพื่อดูลิงก์บันทึก)

Thai PBS Verify ตรวจสอบเพจดังกล่าว พบว่า ถูกสร้างเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นเพจครีเอเตอร์ดิจิทัล มีการสร้างภาพโปรไฟล์ให้เหมือนหน่วยงานราชการ โดยใช้ชื่อในภาพโปรไฟล์ว่า “หน่วยงานความปลอดภัยและการป้องกันออนไลน์ ONLINE SAFETY AND PROTION AGENCY” ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวไม่มีอยู่จริง

ภาพความโปร่งใส่ของเพจ

ภาพบันทึกหน้าจอแสดงความโปร่งใสของเพจที่พบว่าเพจดังกล่าวเพิ่งถูกสร้างไม่นาน

ขณะที่เมื่อนำข้อมูลจากเสียงในโฆษณาดังกล่าวมาตรวจสอบผ่านการค้นหาคำสำคัญผ่าน Google Search Engine เราพบว่าเสียงดังกล่าว เป็นเสียงจากการรายงานข่าวของ Thai PBS ซึ่งเป็นข่าว “สอท.คืนเงินผู้เสียหาย 8 แสนบาท หลังถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน” ที่เผยแพร่ผ่านยูทูบ เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา (คลิกที่นี่เพื่อดูลิงก์บันทึก)

ชมคลิปปลอมที่นำมาหลอกลวง

คลิปจริงเป็นอย่างไร?

ทั้งนี้พบว่า มีประชาชนบางส่วนได้ทักข้อความเข้าไปยังช่องแสดงความคิดเห็นของโฆษณาดังกล่าว และพบการตอบกลับที่อ้างว่า รับลงทะเบียนสิทธิ์ที่ถูกฉ้อโกงอาชญากรรมทางออนไลน์อีกด้วย

ภาพแชตเพจปลอม

เพจปลอมตอบกลับคอมเมนต์โดยอ้างว่ารับลงทะเบียนขอรับเงินคืน

ผลกระทบจากการถูกแอบอ้างเป็นอย่างไร?

เราตรวจสอบไปยัง นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ถูกนำภาพดังกล่าวมาแอบอ้าง ซึ่ง นายวสันต์ ระบุว่า การที่ถูกมิจฉาชีพนำภาพไปใช้ถือว่าส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากการนำภาพหรือชื่อไปใช้โดยไม่รู้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของเรา และการนำไปใช้โดยเฉพาะในทางที่ผิด หรือในทางที่ไม่เหมาะสม เช่นการหลอกลวงให้ลงทุน ย่อมส่งผลกระทบต่อเกียรติและชื่อเสียง รวมไปถึงเรื่องของภาพลักษณ์หรือความเป็นส่วนตัว ซึ่งผู้ที่หลงเชื่อและไม่ได้เอะใจ ก็อาจจะพลาดพลั้งจนถูกหลอก

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ที่ผ่านมาเคยถูกนำภาพไปใช้ในลักษณะของการนำทั้งภาพนิ่ง หรือกิจกรรมที่เคยแถลงข่าว รวมไปถึงรูปภาพของตนเองและครอบครัวไปใช้ไป จนถึงการนำโปรไฟล์ไปหลอกด้วยการดัดแปลงชื่อ หรือการเปลี่ยนชื่อเป็นชื่ออื่น แต่นำภาพโปรไฟล์ของตนเองไปใช้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการแจ้งความไว้แล้วราว 4-5 ครั้ง

ทั้งนี้ขอเตือนประชาชนที่พบเห็นโพสต์หรือคลิปลักษณะดังกล่าว ให้ตั้งข้อสงสัยหรือเอ๊ะไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นภาพของตนเองหรือของใคร ที่ไปปรากฏในลักษณะชักชวนให้ทำอะไรที่อาจจะเสียเงิน หรือเสียหาย ต้องพยายามตรวจสอบดูว่าเพจเหล่านั้นมีจริงหรือไม่ หรือตรวจสอบว่าภาพดังกล่าวนั้นเป็นภาพของใคร หรือเรื่องที่ดูดีเกินจริง ก็จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบและไม่บุ่มบ่าม รวมถึงสอบถามกับคนที่รู้จักเพื่อป้องกันการถูกหลอก

ถูกหลอกขอเงินคืนอย่างไร?

พ.ต.ต. พากฤต กฤตพงษ์ รองโฆษก บก.สอท.2 ให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS Verify ถึงประเด็นดังกล่าวว่า การคืนเงินให้กับผู้เสียหายในคดีถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพปัจจุบันมีการคืนในโครงการ Money Cash Back แต่จะต้องเกิดจากการที่มีการอายัดได้ทันและเส้นเงินไม่มีการเจือปน ซึ่งเมื่ออายัดเงินดังกล่าวทันแล้วก็จะมีการหยุดเส้นเงินนั้นไว้และนำเงินดังกล่าวมาคืนให้กับผู้เสียหาย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนที่เรียกว่า Money Cash Back (คลิกที่นี่เพื่อดูลิงก์บันทึก)

พ.ต.ต.พากฤต กฤตพงษ์ รองโฆษก บก.สอท.2

พ.ต.ต. พากฤต กฤตพงษ์ รองโฆษก บก.สอท.2

สำหรับการยื่นหลักฐานโดยปกติแล้วจะไม่มีการยื่นผ่านเฟซบุ๊ก 100% ซึ่งโครงการคืนเงินให้กับผู้เสียหายนั้นจะเกิดจากการที่

  1. ผู้เสียหายได้มีการโทรศัพท์มาอายัดเงินที่เบอร์โทรศัพท์ 1441 ได้ทัน
  2. คือการเดินทางมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน ซึ่งพนักงานสอบสวนจะประสานกับธนาคารเพื่อจะคืนเงินให้กับผู้เสียหาย

ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกไปแล้วนั้น การขอเงินคืนจะมีช่องทางในการติดต่อคือ

  1. ติดต่อผ่าน www.thaipoliceonline.go.th ซึ่งเป็นระบบรับแจ้งความสำหรับผู้เสียหายจากการถูกมิจฉาชีพหลอกลวง
  2. ผู้เสียหายจะต้องเดินทางไปที่สถานีตำรวจเพียงเท่านั้น

ท้ายที่สุดขอให้สังเกตไว้เสมอว่า จะไม่มีตำรวจติดต่อผ่าน Facebook หรือจะเปิดกล้องคุยไลน์กับผู้เสียหายโดยเด็ดขาด ยืนยันว่า การติดต่อกับผู้เสียหายทั้งสองลักษณะนั้นไม่มีอยู่จริง และจะไม่มีการขอให้ผู้เสียหายโอนเงินไปตรวจสอบ โดยหากผู้เสียหายต้องการพบเจ้าหน้าที่ จะต้องไปพบที่สถานีตำรวจเพียงเท่านั้น และจะไม่มีการขอสำเนาเอกสารใด ๆ เพื่อติดต่อทนายผ่าน Facebook ซึ่งหากพบเจอเพจหรือโฆษณาลักษณะนี้ ขอให้รู้ทันทีว่ากลุ่มคนเหล่านี้คือมิจฉาชีพ

กระบวนการตรวจสอบ

  1. ตรวจสอบแหล่งที่มาและรูปแบบเพจ 
    • ชื่อเพจ/หน่วยงาน: ตรวจสอบชื่อเพจ (“Online Progress strive for technology crimes”) และชื่อหน่วยงานที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ (“หน่วยงานความปลอดภัยและกาารป้องกันออนไลน์”) ว่ามีหน่วยงานราชการชื่อนี้อยู่จริงหรือไม่
    • ผล: พบว่าหน่วยงานดังกล่าว ไม่มีอยู่จริง
    • วันก่อตั้ง: ตรวจสอบวันที่สร้างเพจ (3 พ.ย. 68) เป็นเพียงเพจที่ตั้งขึ้นมาได้ไม่นานซึ่งทำให้ไม่มีความน่าเชื่อถือ
  2. ตรวจสอบการแอบอ้างบุคคล 
    • ตรวจสอบภาพของบุคคลสำคัญที่ถูกนำมาใช้ (นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) เพื่อยืนยันว่าบุคคลนั้นเกี่ยวข้องกับเพจดังกล่าวจริงหรือไม่
    • ผล: นายวสันต์ ยืนยันว่าถูกนำภาพไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต และ กสม. ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการคืนเงินดังกล่าว
  3. ตรวจสอบการบิดเบือนเนื้อหา  
    • ตรวจสอบเสียงที่ใช้ในโฆษณา โดยค้นหาคำสำคัญผ่าน Google Search Engine
    • ผล: พบว่าเสียงที่นำมาใช้ ถูกตัดต่อมาจากรายงานข่าวจริงของ Thai PBS เรื่อง สอท. คืนเงินผู้เสียหาย (Money Cash Back) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
  4. ตรวจสอบช่องทางราชการที่แท้จริง 
    • สอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (รองโฆษก บก.สอท.2) เพื่อยืนยันขั้นตอนการขอคืนเงินที่ถูกต้อง
    • ผล: ยืนยันว่า ไม่มีการยื่นหลักฐานหรือติดต่อคืนเงินผ่าน Facebook 100% และการคืนเงินต้องผ่านกระบวนการ Money Cash Back โดยติดต่อ 1441 หรือแจ้งความที่สถานีตำรวจเท่านั้น

ผลกระทบเมื่อได้รับข้อมูลเท็จเหล่านี้

  1. ตกเป็นเหยื่อซ้ำสอง: เหยื่อที่เคยถูกหลอกมาแล้วมีความหวังที่จะได้เงินคืน เมื่อเห็นโฆษณาที่ดูน่าเชื่อถือและแอบอ้างหน่วยงานรัฐ/บุคคลสำคัญ จึงมีแนวโน้มที่จะหลงเชื่อและทำตามคำแนะนำของมิจฉาชีพ ทำให้สูญเสียเงินหรือข้อมูลส่วนตัวเพิ่มขึ้น
  2. สร้างความสับสนในช่องทางการติดต่อ: ข้อมูลเท็จสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับช่องทางที่ถูกต้องในการรับแจ้งความและการคืนเงิน (เช่น อ้างว่าติดต่อผ่าน Facebook ได้) ทำให้เหยื่อไม่ไปติดต่อช่องทางราชการจริง และเสียโอกาสในการอายัดเงินหรือดำเนินคดีอย่างถูกต้อง
  3. ทำลายความน่าเชื่อถือของหน่วยงานรัฐ: การแอบอ้างชื่อและภาพของ กสม. และการนำเสียงข่าวของตำรวจไซเบอร์มาตัดต่อ ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในหน่วยงานจริง และเข้าใจว่าหน่วยงานของรัฐขาดการจัดการกับปัญหาการแอบอ้างนี้

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

  • ตรวจสอบความถูกต้องของ “หน่วยงาน” ทันที
    • หากมีการอ้างถึงหน่วยงานราชการ ให้ ค้นหาชื่อหน่วยงานนั้นใน Google หรือเว็บไซต์ของรัฐบาล
    • สังเกตความผิดปกติ: หน่วยงานของรัฐจะไม่ใช้วิธี “ยิงโฆษณา” เพื่อตามหาเหยื่อให้มาขอเงินคืนผ่าน Facebook
  • ตั้งข้อสงสัยในช่องทางการติดต่อ
    • กฎเหล็ก: การแจ้งความหรือการขอคืนเงินจากคดีอาชญากรรมไซเบอร์ ต้องทำผ่าน 2 ช่องทางเท่านั้น คือ 1) โทร 1441 หรือ 2) ไปแจ้งความด้วยตนเองที่สถานีตำรวจ/www.thaipoliceonline.go.th
    • อย่าหลงเชื่อ การติดต่อที่ระบุว่า “รับลงทะเบียนสิทธิ์” หรือ “ส่งหลักฐาน” ผ่านกล่องข้อความ (Inbox) ของ Facebook หรือ Line
  • ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเพจ
    • ดู วันก่อตั้งเพจ หากเป็นเพจที่เพิ่งสร้างขึ้นมาและมีผู้ติดตามน้อย แต่ยิงโฆษณาจำนวนมาก ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าเป็นมิจฉาชีพ
    • สังเกตภาษาที่ใช้: มักจะมีคำผิดหรือภาษาที่ไม่เป็นทางการของหน่วยงานรัฐ
  • แจ้งความดำเนินคดีและรายงานเพจ
    • หากเคยถูกหลอกมาก่อน: ให้แจ้งความที่ www.thaipoliceonline.go.th หรือโทร 1441 เพื่อสอบถามขั้นตอนการ Money Cash Back ที่ถูกต้อง
    • รายงานเพจ: กดรายงานเพจ/โฆษณานั้นใน Facebook ว่าเป็น “การหลอกลวงและการฉ้อโกง (Scam and Fraud)” เพื่อให้แพลตฟอร์มดำเนินการลบออกโดยเร็วที่สุด