ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

อ้วนลงพุงระวัง "ไขมันพอกตับ" ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม

ไลฟ์สไตล์
16:19
246
อ้วนลงพุงระวัง "ไขมันพอกตับ" ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม
อ่านให้ฟัง
08:05อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
"ไขมันพอกตับ" ภัยเงียบที่ครึ่งหนึ่งของคนไทยอาจเผชิญโดยไม่รู้ตัว โรคนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของนักดื่ม แต่เกิดจากพฤติกรรมการกิน ไลฟ์สไตล์ที่หลายคนทำทุกวัน รู้จักสาเหตุ อาการ วิธีป้องกัน และเคล็ดลับดูแลตับให้แข็งแรง

ลองนึกภาพตับของเราเป็นโรงงานใหญ่ที่ทำงานหนักทุกวัน กรองสารพิษ สร้างพลังงาน และจัดการไขมันในร่างกาย แต่ถ้าโรงงานนี้เต็มไปด้วยกองไขมัน ? สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ไขมันพอกตับ หรือ Fatty Liver Disease โรคที่กำลังกลายเป็นปัญหาสุขภาพอันดับต้น ๆ ของคนไทย โดยเฉพาะในยุคที่ของหวาน ขนมทอด และน้ำอัดลมครองโต๊ะอาหาร

ไขมันพอกตับคืออะไร ?

ไขมันพอกตับ คือ ภาวะที่มีไขมันสะสมในเซลล์ตับมากเกินไป โดยทั่วไปถ้าไขมันเกินร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักตับ ถือว่าเข้าข่ายแล้ว ไขมันส่วนใหญ่เป็นไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ที่มาจากอาหารหรือการเผาผลาญผิดปกติ โรคนี้แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. NAFLD (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease) ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ พบบ่อยในคนอ้วน ผู้ป่วยเบาหวาน หรือมีไขมันในเลือดสูง
  2. AFLD (Alcoholic Fatty Liver Disease) เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์หนักและต่อเนื่อง

น่าตกใจที่ 1 ใน 3 ของคนไทย มีภาวะนี้ และหลายคนไม่รู้ตัว เพราะไม่มีอาการในระยะแรก

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

สาเหตุใด ? ตัวการแฝงในชีวิตประจำวัน

ไขมันพอกตับไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์อย่างเดียว แต่พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตคือตัวการใหญ่ด้วย เช่น

  • การกินหวาน กินมันเกินพอดี น้ำตาลฟรุกโตสในน้ำอัดลม ขนมหวาน หรือผลไม้หวานจัด เช่น มะม่วงสุก ทุเรียน ถูกตับเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม
  • อ้วนลงพุง ไขมันหน้าท้องสัมพันธ์กับการสะสมไขมันในตับ โดยเฉพาะคนที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 25 หรือรอบเอวเกิน 90 ซม. (ชาย) และ 80 ซม. (หญิง)
  • ไม่ยอมออกกำลังกาย การนั่งนาน ๆ หรือขาดกิจกรรมทางกายทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้น้อย
  • โรคเรื้อรัง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หรือภาวะดื้ออินซูลิน เพิ่มความเสี่ยงถึงร้อยละ 60
  • ยาและสารพิษ ยาสเตียรอยด์ ปฏิชีวนะบางชนิด หรืออาหารเสริมที่ไม่มี อย. อาจทำร้ายตับ
  • พันธุกรรม บางคนมียีนที่ทำให้ตับสะสมไขมันง่ายขึ้น
  • การกินดึกหรือนอนไม่เป็นเวลา รบกวนนาฬิกาชีวภาพของตับ เพิ่มความเสี่ยงให้ไขมันพอกตับ
    ภาพประกอบข่าว

    ภาพประกอบข่าว

    ภาพประกอบข่าว

4 ระยะ ภัยเงียบ "ไขมันพอกตับ"

ไขมันพอกตับมักไม่มีอาการในระยะแรก จึงถูกเรียกว่าภัยเงียบ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ตรวจเจอจากการตรวจสุขภาพประจำปี เมื่อค่าตับ (AST, ALT) ผิดปกติ หรือเห็นตับโตจากอัลตราซาวด์ บางรายอาจมีอาการไม่ชัดเจน เช่น

  • อ่อนเพลียเรื้อรัง
  • คลื่นไส้เล็กน้อย
  • ปวดหน่วงใต้ชายโครงขวา
  • คันผิวหนัง (จากน้ำดีคั่ง)

ถ้าปล่อยไว้นาน อาจเข้าสู่ 4 ระยะของโรค

ระยะ 1 ไขมันสะสมแต่ยังไม่รุนแรง ไขมันเริ่มสะสมในเซลล์ตับเกินร้อยละ 5-10 โดยไม่มีอาการหรือการอักเสบ มักตรวจพบจากการตรวจสุขภาพ และสามารถย้อนกลับได้ด้วยการปรับอาหารและออกกำลังกาย

ระยะ 2 ตับเริ่มอักเสบ (NASH) ตับอักเสบจากไขมันสะสม (Non-Alcoholic Steatohepatitis) อาจมีอาการอ่อนเพลียหรือปวดชายโครงขวา ยังรักษาได้ด้วยการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ แต่หากปล่อยไว้จะรุนแรงขึ้น

ระยะ 3 มีพังผืดในตับ (Fibrosis) เกิดพังผืดหรือแผลเป็นในตับจากการอักเสบต่อเนื่อง ทำให้ตับทำงานแย่ลง การรักษายากขึ้น และอาจต้องใช้ยาควบคู่กับการปรับพฤติกรรม

ระยะ 4 ตับแข็ง (Cirrhosis) หรือมะเร็งตับ ตับเสียหายถาวร มีพังผืดหนาแน่นหรือตับแข็ง อาจนำไปสู่มะเร็งตับ ต้องรักษาด้วยยา การผ่าตัด หรือเปลี่ยนตับ และมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ระยะ 1-2 ยังย้อนกลับได้ แต่ถ้าถึงระยะ 3-4 การรักษาจะยากและอาจถึงขั้นเปลี่ยนตับ

รู้ก่อนรักษา เปลี่ยนตับพังกลับมาปังได้

การตรวจสุขภาพประจำปีสำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยง แพทย์มักใช้วิธีต่อไปนี้ตรวจหาไขมันพอกตับ

  • เจาะเลือด ดูค่าเอนไซม์ตับ (AST, ALT) และระดับไขมันในเลือด
  • อัลตราซาวด์ เห็นภาพไขมันในตับ
  • FibroScan วัดความแข็งและไขมันในตับด้วยคลื่นเสียง ไม่ต้องผ่าตัด
  • เจาะชิ้นเนื้อตับ ใช้ในกรณีรุนแรงเพื่อยืนยันการอักเสบหรือพังผืด

ข่าวดีคือ ไขมันพอกตับระยะแรกสามารถหายได้โดยไม่ต้องพึ่งยา ด้วยการปรับไลฟ์สไตล์

  • ควบคุมอาหาร โดยกินให้สมดุล เลือกข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ปลา อกไก่ เต้าหู้ ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น ฝรั่ง กีวี
    • ลดหวาน มัน ทอด หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม ขนมหวาน ข้าวขาว และของทอด เพราะน้ำตาลและไขมันทรานส์เป็นตัวการหลัก
    • กินช้า ๆ การกินเร็วเกินไปเพิ่มความเสี่ยงไขมันพอกตับ
    • อาหารดีต่อตับ กาแฟดำ (ไม่ใส่น้ำตาล) ชาเขียว และอาหารที่มีโอเมกา-3 เช่น ปลาแซลมอน ช่วยลดไขมันในตับ
  • ลดน้ำหนัก ร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักตัวช่วยลดไขมันในตับได้ชัดเจน ทำช้า ๆ อย่าหักโหม
  • ออกกำลังกายอย่างน้อย 45 นาที 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ เน้นเผาผลาญไขมันหน้าท้อง
  • เลิกแอลกอฮอล์ ผู้ชายดื่มไม่เกิน 2-3 แก้ว/วัน ผู้หญิง 1-2 แก้ว/วัน หรือเลิกเลยยิ่งดี
  • นอนให้เป็นเวลา 7-8 ชั่วโมง/คืน และหลีกเลี่ยงกินดึกเพื่อให้ตับได้พัก
  • หลีกเลี่ยงยาไม่จำเป็น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาหรืออาหารเสริม
    ภาพประกอบข่าว

    ภาพประกอบข่าว

    ภาพประกอบข่าว

ในบางกรณี แพทย์อาจให้ยาควบคุมเบาหวานหรือไขมันในเลือด แต่ไม่มียายี่ห้อใดรักษาไขมันพอกตับโดยตรง การปรับพฤติกรรมคือหัวใจสำคัญ

เคล็ดลับจากนักโภชนาการ ให้ข้อมูลว่า เพื่อป้องกันความเสี่ยงไขมันพอกตับ ลองทำเมนูสุขภาพ เช่น สลัดอกไก่ย่างกับน้ำมันมะกอก, ข้าวกล้องผัดผัก, ปลานึ่งสมุนไพร, ถั่วอัลมอนด์อบ (ไม่ใส่เกลือ) หรือผลไม้สด

ไขมันพอกตับอาจดูไม่ร้ายแรง แต่ถ้าปล่อยไว้อาจนำไปสู่ ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ซึ่งรักษายากและค่าใช้จ่ายสูง การดูแลตับตั้งแต่วันนี้เหมือนลงทุนเพื่อสุขภาพระยะยาว ไม่วาคุณจะอายุ 20 หรือ 60 การเปลี่ยนเล็ก ๆ เช่น ลดน้ำหวาน หรือเดินวันละ 30 นาที สามารถเปลี่ยนตับพังให้เป็นตับปังได้

ที่มา : โรงพยาบาลศิครินทร์, สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย, โรงพยาบาลรามาธิบดี, Eatwellconcept.com 

อ่านข่าวอื่น : 

ประเมิน "กองทัพเรือกัมพูชา" อยู่ตรงไหนในอาเซียน ?

กลุ่ม คปท.แสดงออกเชิงสัญลักษณ์หน้าสถานทูตฯ กัมพูชา