คำว่า “Longevity” หรือ “การมีอายุยืน” กำลังกลายเป็นกระแส และถูกสำรวจจากหลากหลายแง่มุม จากความหรูหราของชีวิตเพื่อสุขภาพที่จะอายุยืนถึง 100 ปี สู่การตั้งคำถามถึงการเพิ่มภาระของชีวิต จนถึงความเหลื่อมล้ำ และรัฐไทยควรมองเรื่องราวทั้งหมดเป็นวาระแห่งชาติ
Thai PBS ชวนทำความเข้าใจ Longevity การมีชีวิตยืนยาว เทรนด์นี้กำลังบอกอะไรกับเรา ? รวมถึงความเป็นไปได้ของรัฐ กับการจัดการสาธารณสุขของคนไทย ให้เดินหน้าไปสู่คำว่า Longevity นั้น เป็นไปได้ไหม ?
เข้าใจ Longevity คืออะไร ?
Longevity หากแปลตรงตัวมีความหมายว่าการมีอายุยืนยาว แต่ในบริบทของการพูดคุยและเป็นประเด็นอยู่ในปัจจุบัน Longevity มีนิยามไปถึงการมีอายุยืน พร้อมกันกับการมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ บางคนมองไปถึงการมีเป้าหมายในชีวิต มีสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย กระแส Longevity จึงมาพร้อมกับการรักสุขภาพทั้งอาหารการกิน การออกกำลังกาย การดูแลตัวเอง รวมถึงการดูแลเรื่องสุขภาพจิตและเทคโนโลยีต่าง ๆ
ที่มาของเทรนด์ Longevity เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ตั้งแต่ลักษณะของประชากรโลกที่เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัยมากขึ้นเรื่อย ๆ จากความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ผู้คนอายุเฉลี่ยสูงขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งที่ทำให้การใส่ใจเรื่องสุขภาพกลายเป็นประเด็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จุดกระแสให้คำว่า Longevity ถูกนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง น่าจะมาจากหนังสือชื่อ "Outlive: The Science and Art of Longevity" ที่เขียนโดย Dr. Peter Attia และสารคดีชุด “Live to 100: Secrets of the Blue Zones” จาก Netflix ที่เล่าเรื่องราวการมีอายุยืนยาวและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ผ่านศาสตร์และศิลป์ของวิถีชีวิต การเลือกอาหารการกินที่ดีต่อสุขภาพ
กลุ่มผู้สูงอายุกลายเป็นกลุ่มที่มีอำนาจทางการเงินและการเมือง ทั้งยังกลายเป็นกลุ่มที่มีเงินใช้จ่ายมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในมุมธุรกิจจึงมีการมองหาโอกาสทั้งจากการท่องเที่ยวพักผ่อน หลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับทักษะที่ช่วยให้อายุยืนยาว การแพทย์เฉพาะบุคคล การเกษตรเพื่ออาหารที่มีคุณภาพ เก็ตเจคเกี่ยวกับสุขภาพต่าง ๆ
สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) มองปรากฏการณ์นี้ในฐานะของสิ่งที่จะทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจในยุคต่อไปที่มีชื่อว่า Longevity Economic ที่ประกอบไปด้วย การสร้างระบบการเกษียณอายุของรัฐ การเปลี่ยนบทบาทของนายจ้าง การจัดการด้านเศรษฐศาสตร์ และการสนับสนุนทางการเงิน
Longevity มีหลากหลายมิติและกลายเป็นกระแสที่ผู้คนสนใจ โดยในประเทศไทยเอง คำ ๆ นี้ได้รับการพูดถึงอยู่เรื่อย ๆ จากในกลุ่มคนรักสุขภาพรวมถึงนักธุรกิจ ทั้งในฐานะของคอนเทนต์สุขภาพและโอกาสทางธุรกิจในอนาคตเชิงสไลฟ์สไตล์ เทรนด์การออกกำลังกายต่าง ๆ การทำ Ice Bath การฝึกหายใจแบบ Wim Hof ไปจนถึงอุปกรณ์วัดผลตรวจอายุร่างกาย ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันต่าง ๆ หลายสิ่งเหล่านี้กลายเป็นวัฒนธรรม Longevity ที่ต่อยอดกันและกันในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา
สาธารณสุขไทยอยู่ตรงไหนในเทรนด์ Longevity
เนื่องจาก Longevity เป็นแนวคิดที่เปิดกว้างในด้านนิยาม แต่โดยรวมแล้วคือการมีอายุยืนพร้อมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ ทว่าการจะบรรลุการมีชีวิตยืนยาวได้นั้น แม้จะดูเป็นเรื่องเรียบง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้คนบรรลุเป้าหมายนี้ได้ยาก เพราะไม่ใช่แค่ปัจเจกเท่านั้นจะทำให้ตัวเองมีสุขภาพที่ดีขึ้นมาได้ รัฐบาลก็มีส่วนทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เกิด Longevity ด้วย จึงเกิดคำถามว่า ปัจจุบันสาธารณสุขไทย มีนโยบาย รวมถึงมีกระบวนการ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของคำ ๆ นี้แล้ว แค่ไหน? อย่างไร ?
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ Longevity ในแวดวงสาธารณสุขนั้น มีการใช้คำที่ใกล้เคียง ได้แก่ อายุขัยเฉลี่ย (Life Expectancy) ที่คนไทยมีแนวโน้มที่จะมีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้น และมีการกำหนดในเป้าหมายในยุทธศาตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบ ระยะ 10 ปี โดยมีเป้าหมายให้ คนไทยมีสุขภาพที่ดี มีอายุคาดเฉลี่ยเมื่อแรกเกิดไม่น้อยกว่า 85 ปี ขณะที่มีอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี (Health-Adjusted Life Expectancy) ที่ไม่น้อยกว่า 75 ปี
นอกจากนี้ยังมีคำว่า “ปีสุขภาวะ (QALY)” แปลความให้เข้าใจง่ายคือ จำนวนปีที่ผู้คนจะมีชีวิตที่สุขภาพดี เป็นค่ากลางที่ใช้ประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ มีความหมายรวมถึงยา วัคซีน เครื่องมือแพทย์ นโยบายต่าง ๆ หากมีการศึกษามากเพียงพอจะนำไปสู่นโยบายสุขภาพอื่น ๆ ตามมา
ระบบสาธารณสุขไทยมีภาพกว้างของการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน ตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และหน่วยงานหลากหลายที่เกี่ยวข้อง ร่วมทำงานหลายทาง มีหน่วยงานท้องถิ่นอย่าง รพสต. รวมถึงอาสาสมัครสาธารณสุขตามชุมชนที่ลงมือปฏิบัติ มีการส่งเสริมกิจกรรมออกกำลังกายตามสวนสุขภาพ ขณะที่ กทม. มีแนวคิดทำ “สวน 15 นาที” ส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ แคมเปญโฆษณาต่าง ๆ มีการทำงานตามประเด็นโรคที่เฝ้าระวังอย่างโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NDCs)
ที่ผ่านมา มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการช่วยให้ผู้คนมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น เช่น การนับคาร์บ ภาษีน้ำตาล การควบคุมโซเดียม รวมถึงนโยบายควบคุมฉลากให้แสดงคุณค่าทางอาหาร กระทั่งการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นโยบายสุขภาพลักษณะนี้ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหลายแง่มุม โดยเฉพาะในด้านการส่งเสริมที่มองเรื่องปัจเจกมากกว่าการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง และยังคงมีปัญหาด้านอื่นที่ส่งผลถึงสุขภาพ เช่น มลภาวะ ความเหลื่อมล้ำที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
อย่างไรก็ตาม ผลสุดท้ายของอายุขัยของการมีสุขภาพดีสำหรับประเทศไทย ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เลวร้าย หากเทียบกับภาพกว้างของสถานการณ์โลก
สํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กลุ่มงานพัฒนาดัชนีภาระโรคแห่งประเทศไทย เผยถึงสถานการณ์ในตอนนี้ พบว่า ในช่วงปี 2562 – 2567 คนไทยจะมีอายุขัยเฉลี่ย (Life Expectancy) ที่สูงขึ้น 73 - 77 ปี แต่ก็มีอายุขัยเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี (Health-Adjusted Life Expectancy) อยู่ที่ 67 – 68 ปี หรือก็คือคนไทยจะต้องใช้ชีวิตกับโรคเรื้อรังนานถึง 10 ปี
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวนี้เทียบเท่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกที่มีอายุขัยเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี 68.2 ปี ยังดีกว่าค่าเฉลี่ยของทวีปยุโรปที่ 66 ปี และค่าเฉลี่ยของผู้คนทั่วโลกที่ 61.9 ปี ขณะที่ประเทศชั้นนำที่มีอายุยืนญี่ปุ่นหรือสวีเดนจะมีอายุขัยเฉลี่ยของการมีสุขภาพดีอยู่ที่ 71 - 73 ปี
ทั้งนี้ หากมองถึงเป้าหมายของคำว่า Longevity ที่ให้คนอายุยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดี เป้าหมายนี้เหมือนง่ายแต่กลับมีบางอย่างที่ขาดหายไป เหตุคนไทยยังคงเผชิญกับอุปสรรคบางอย่างในการเข้าถึง Longevity อยู่ และหากมองภาพในระยะยาว สังคมไทยยังคงมีความท้าทายที่หลายอย่างเพื่อรองรับสังคม Longevity ที่เกิดขึ้น
Longevity ภาพที่กว้างกว่าเรื่องสุขภาพแต่ส่งผลถึงชีวิต
Longevity หากมีนิยามชีวิตที่มีอายุยืนพร้อมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ สามารถใช้ชีวิตที่ดีได้ เป้าหมายนี้ดูจะมีกว้างไปกว่าเรื่องสุขภาพของการรักษาโรค หากยังโยงไปถึงการใช้ชีวิตที่ดีอีกด้วย ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตหรือพฤติกรรมของผู้คนจำเป็นต้องใช้หลากหลายมาตรการร่วมกัน
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มีการจัดประชุมสาธารณะในหัวข้อ Longevity Society : Making Thailand Competitive, Healthy, and Secure ที่ให้ภาพรวมของสังคมอายุยืนพร้อมข้อเสนอแนะที่น่าสนใจ เชื่อมโยงกับหลายด้านทั้งเรื่องการเงิน ชีวิตการทำงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยรวมแล้วสามารถสรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้
สร้างสังคมการทำงานเพื่อรองรับ Longevity
ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมสร้างสังคมการทำงานที่เป็นมิตรกับทุกช่วงอายุ ปรับเวลาทำงานให้ผู้ทำงานมีสุขภาพที่ดีขึ้น สร้างสภาพแวดล้อมตามหลักคิด Ergonomics เพื่อลดการบาดเจ็บในการทำงาน พร้อมมีนักกายภาพให้คำแนะนำช่วยเหลือ ขณะที่ผู้ที่มีอายุยืนในสังคมยังมีร่างกายที่แข็งแรง สังคมการทำงานยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้เกิดเป้าหมายในชีวิตพร้อมทั้งช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินด้วย การขยายเวลาเกษียณอายุ สร้างแรงจูงใจให้เกิดการจ้างงานผู้มีอายุยืนมากขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อให้ผู้คนสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ช่วยเพิ่มโอกาสการเปลี่ยนงานในบั้นปลายได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการปรับเปลี่ยนการใช้แรงงานคนมาเน้นใช้เทคโนโลยี หุ่นยนต์ เครื่องจักร รวมถึงเอไอเข้ามาช่วยในการทำงานเพิ่มขึ้น
พัฒนาเมือง Longevity
เมืองต้องเอื้อต่อการใช้ชีวิตของคนทุกวัย คนต้องเดินทางจากที่อยู่อาศัยไปที่ทำงาน สถานพยาบาล สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ รวมถึงสถานที่เพื่อประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้สะดวก มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในพื้นที่สาธารณะที่มีความปลอดภัยและผู้คนมีส่วนร่วม มีเส้นทางที่ผู้คนเดินถึงได้และมีคุณภาพ ออกกฎหมายกำหนดพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุเดินทางได้รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น
สร้างระบบการเงินที่มีความยั่งยืน
ยิ่งมีอายุยืน ยิ่งจำเป็นต้องใช้เงินเกษียณมากขึ้น เป้าหมายการอยู่ถึง 100 ปี แปลว่าหากจำเป็นต้องมีเงินเพียงพอสำหรับใช้ยาวนานมากกว่า 30 ปีหลังเกษียณที่อายุ 60 ปี ระบบการเงินสร้างทั้งบำนาญและการออมเงินที่เพียงพอ ครอบคลุมแรงงานทั้งในและนอกระบบ ให้มีเงินเพียงพอต่อการดำรงชีพในระยะยาวนานขึ้นผ่านกองทุนที่มีอยู่
สร้างระบบการดูแลสุขภาพระยะยาว
ระบบการดูแลสุขภาพระยะยาว มีเจ้าหน้าที่เยี่ยมตรวจและให้คำแนะนำด้านสุขภาพ โภชนาการ เพื่อช่วยลดการเจ็บป่วย ช่วยให้ผู้คนสามารถดูแลสุขภาพตัวเองได้ดีขึ้น มีสวัสดิการชุมชนที่ช่วยดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รัฐมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพในระยะยาวโดยในบางประเทศมีระบบประกันการดูแลสุขภาพระยะยาวที่จะมีการเก็บเบี้ยเพิ่มเติมกับผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ขณะที่ประเด็นเกี่ยวกับภัยสุขภาพใหม่อื่น ๆ ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีการรับมือเช่นกัน
การจัดการเมืองรวมถึงโครงสร้างทางสังคมในหลายประเด็นเหล่านี้ยังคงต้องคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอีกด้วย เพราะ Longevity มีนิยามที่ยังคงเปิดกว้าง จึงมีทั้งแง่มุมที่จำเป็นต้องมีกำลังทรัพย์ทั้งเงินและเวลาในการเข้าถึงไลฟ์สไตล์ Longevity ต่าง ๆ ทั้งเข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย เข้าคอร์สต่าง ๆ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เข้ารับการตรวจเพื่อรับทราบถึงสถานะทางสุขภาพให้ชัดเจน ขณะที่ในมุมการแพทย์ก็มีด้านที่เข้าถึงได้ง่าย เพียงพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้สนิท มีการเคลื่อนไหวร่างกายยืดเหยียดให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพทั่วไป และเน้นโภชนาการที่จำเป็นตามช่วงวัย ก็ช่วยให้อายุยืนได้แล้ว
การบรรลุถึง Longevity เป็นทั้งสิ่งที่เรียบง่ายแต่ก็มีประเด็นท้าทาย ทั้งในเชิงปัจจัยของในการใช้ชีวิตของปัจเจก และในมุมของภาครัฐที่จะเอื้ออำนวยด้านโครงการพื้นฐาน กฎระเบียบข้อบังคับให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น ทั้งนี้ รัฐเองก็ได้รับผลตอบแทนคืนในเชิงเศรษฐศาสตร์ เมื่อวัยแรงงานสามารถมีสุขภาพดีก็สามารถทำงานและสร้างผลิตผลให้กับประเทศได้อย่างสมบูรณ์ด้วย
อ้างอิง
- องค์การอนามัยโลก (WHO)
- สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
- World Economic Forum
- สํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ
- คู่มือการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพสําหรับประเทศไทย