EN

แชร์

Copied!

ตรวจสอบแล้ว: โซเชียลอ้าง “กลุ่มบัตรคนจน” หลุดโครงการคนละครึ่ง ด้านอนุทินย้ำชัด ครอบคลุมทุกกลุ่ม

22 ก.ย. 6811:58 น.
การเมือง#ข่าวปลอม
ตรวจสอบแล้ว: โซเชียลอ้าง “กลุ่มบัตรคนจน” หลุดโครงการคนละครึ่ง ด้านอนุทินย้ำชัด ครอบคลุมทุกกลุ่ม

Thai PBS Verify ตรวจสอบกรณีโซเชียลมีเดียแชร์ข้อมูลระบุว่า กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งรอบใหม่ ด้าน นายอนุทิน ยืนยันเร่งเดินหน้านโยบายให้ได้ทุกกลุ่ม

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาข่าวปลอมจาก :  Facebook

จากการที่มีกระแสข่าวเตรียมนำโครงการคนละครึ่งกลับมาใหม่อีกครั้ง ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล  นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี โดยครั้งนี้ในโซเชียลฯ มีการกล่าวถึงเงื่อนไขโครงการนี้ โดยระบุว่า กลุ่มที่เคยได้เงิน 10,000 บาท จากกลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13 ล้านคน จะไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ 

Thai PBS Verify ได้ตรวจสอบพบโพสต์  Facebook มีการแชร์ข้อความระบุว่า “ กลุ่มที่เคยได้เงิน 10,000 บาท จากกลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน รอบที่แล้ว จะไม่ได้เข้าร่วม “คนละครึ่ง เนื่องจากไม่ตรงตามเงื่อนไข” ซึ่งทำให้มีผู้เข้ามาแสดงความรู้สึกนับหมื่นคน รวมถึงแสดงความคิดเห็นหลักพัน และมีการแชร์ไปกว่า 2,000 ครั้ง นอกจากนี้ยังพบว่า คนบางส่วนเห็นด้วยที่มีการตัดสิทธิ์ของกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการของรัฐ นอกจากนี้ยังพบในโซเชียลอื่นเช่น  X อีกด้วย

ภาพเฟซบุ๊ก แชร์ข้อความระบุ กลุ่มที่เคยได้เงิน 10,000 บาท จากกลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน รอบที่แล้ว จะไม่ได้เข้าร่วม “คนละครึ่งเนื่องจากไม่ตรงตามเงื่อนไข”

ภาพเฟซบุ๊ก แชร์ข้อความระบุ กลุ่มที่เคยได้เงิน 10,000 บาท จากกลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน รอบที่แล้ว จะไม่ได้เข้าร่วม “คนละครึ่งเนื่องจากไม่ตรงตามเงื่อนไข”

อนุทินยัน “คนละครึ่ง” เดินหน้าแน่ รอคลังชี้แจงรายละเอียด

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง โครงการคนละครึ่ง ในการประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา ทั้งรูปแบบ 60:40 และ 50:50 โดยมีคำถามว่าจะสามารถ “เปิดกระเป๋ารอ” ใช้สิทธิได้เลยหรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบว่า “รอได้ครับ” พร้อมย้ำว่ารายละเอียดทั้งหมด จะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกมาชี้แจงกับประชาชนอีกครั้ง หลังเข้ามาบริหารราชการอย่างเต็มตัว แต่ยืนยันว่า จะเร่งดำเนินการตามนโยบายให้เร็วที่สุด 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในการประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในการประชุมหารือแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

คลังแจงคนละครึ่งรอบใหม่ให้ประชาชนทุกกลุ่ม 

ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าโครงการ คนละครึ่งรอบใหม่ จะแบ่งสิทธิเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่จะได้รับสิทธิพิเศษในรูปแบบ “รัฐช่วยจ่าย 60% ประชาชนจ่าย 40%” หรือ 60:40 ซึ่งคาดว่า จะมีผู้ได้รับสิทธิประมาณ 11 ล้านคน และกลุ่มประชาชนทั่วไปกับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ยังคงได้สิทธิในรูปแบบจ่ายคนละครึ่ง 50:50 

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง

ขณะที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า ภาคเอกชนเสนอให้เพิ่มวงเงินใช้จ่ายจากเดิม 150 บาทต่อวัน เป็น 200 บาทต่อวัน โดยผู้ที่เคยใช้แพลตฟอร์มแล้วไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยใช้ ต้องลงทะเบียนเพิ่มเติม และยังมีระบบออฟไลน์ รองรับสำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ทั้งนี้ โครงการ “คนละครึ่ง 2568” หรือ “คนละครึ่งอนุทิน” จะเริ่มในเดือน ต.ค. 68 โดยใช้งบประมาณปี 2569 ในหมวดกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมวงเงินราว 25,000 ล้านบาท

ย้อนจุดเริ่มต้น โครงการคนละครึ่ง

จุดเริ่มต้นของ โครงการคนละครึ่ง มาจากนโยบายช่วยเหลือประชาชนในสมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยโครงการนี้ดำเนินมาแล้ว 5 เฟส ได้แก่

 

เฟส 1 (23 ต.ค. 2563) มีผู้ลงทะเบียน 10 ล้านสิทธิ ได้รับวงเงินคนละ 3,000 บาท

เฟส 2 (1 ม.ค. 2564) เพิ่มสิทธิใหม่อีก 5 ล้านสิทธิ วงเงินคนละ 3,500 บาท พร้อมเพิ่มวงเงินให้ผู้เข้าร่วมเฟส 1 อีก 500 บาท

เฟส 3 (1 ก.ค. 2564) มีผู้ได้รับสิทธิ 31 ล้านคน วงเงินคนละ 4,500 บาท

เฟส 4 (1 ก.พ. 2565) มีผู้ใช้สิทธิ 26.27 ล้านคน วงเงินคนละ 1,200 บาท 

เฟส 5 (1 ก.ย. 2565) มีผู้ใช้สิทธิจริง 24.02 ล้านคน วงเงินคนละ 800 บาท 

 

วัตถุประสงค์ของโครงการคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย เช่น หาบเร่ แผงลอย เพื่อเพิ่มรายได้จากการขายสินค้า รัฐช่วยจ่าย 50% ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน วิธีดำเนินโครงการคือ ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนที่เว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com

จากนั้นติดตั้งแอปฯ “เป๋าตัง” (สำหรับประชาชน) และ “ถุงเงิน” (สำหรับร้านค้า) เมื่อได้รับสิทธิจะต้องใช้จ่ายภายใน 14 วัน หากไม่ใช้สิทธิจะถูกตัดออกจากโครงการ การชำระเงินทำผ่าน QR Code ร้านค้าที่เข้าร่วม ยกเว้นสินค้าต้องห้าม เช่น สลากกินแบ่ง, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ ได้แก่ อายุ 18 ปี ขึ้นไป สัญชาติไทย และไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 

ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมต้องเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ไม่ใช่นิติบุคคล และไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อเฟรนไชส์ สิทธิที่ได้รับคือวงเงินคนละครึ่งไม่เกิน 150 บาท/วัน หรือรวมไม่เกิน 3,000 บาทตลอดโครงการ โดยหากใช้สิทธิแล้วจะไม่ได้รับสิทธิมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ซ้ำอีก

ขณะเดียวกันทาง Thai PBS Verify  ได้ทำการตรวจสอบ www.คนละครึ่ง.com ยังไม่มีความเคลื่อนไหวของเว็บไซต์

ภาพจากเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com

ภาพจากเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com

เรื่องจริงเป็นอย่างไร ? 

เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ทำให้โจทย์สำคัญของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และคณะฯ คือ การเร่งหานโยบายที่สามารถทำได้เร็ว (Quick Win) และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน โครงการ “คนละครึ่ง” จึงถูกหยิบขึ้นมาใช้โดยปริยาย เพราะเป็นโครงการที่ช่วยกระจายเงินไปถึงทุกกลุ่มประชาชน อีกทั้งประชาชนก็มีความคุ้นเคยกับการใช้งานอยู่แล้ว นอกจากนี้ โครงการยังเคยประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้กับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาก่อน กระแสของโครงการคนละครึ่ง จึงแพร่กระจายขึ้นมาอีกครั้ง ในช่วงที่นายอนุทินกำลังอยู่ระหว่างการฟอร์มคณะรัฐมนตรี

กระบวนการตรวจสอบ

  1. ตรวจสอบผ่านแหล่งข่าว พบว่า โครงการคนละครึ่ง 68 ให้สิทธิประชาชนทั่วไป และกลุ่มถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ผลกระทบข้อมูลเท็จ

1. ผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมาย/ ผู้ถือบัตรสวัสดิการ

  • สร้างความสับสนและเข้าใจผิด: ทำให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ไม่แน่ใจในสิทธิ์ของตนเอง และอาจพลาดโอกาสในการลงทะเบียนหรือเข้าร่วมโครงการ ทั้งที่พวกเขามีสิทธิ์เต็มที่ ซึ่งเป็นการสูญเสียโอกาสในการได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ
  • เกิดความไม่พอใจและความเหลื่อมล้ำ: อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าถูกกีดกันหรือถูกเลือกปฏิบัติ ทั้งที่โครงการมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม

2. ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • ลดความน่าเชื่อถือของภาครัฐ: เมื่อข้อมูลที่ออกมาจากโซเชียลขัดแย้งกับการยืนยันของกระทรวงการคลัง ประชาชนอาจเกิดความกังขาในความโปร่งใสและการบริหารจัดการโครงการของภาครัฐ
  • เพิ่มภาระในการสื่อสารและแก้ไขข้อมูล: หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการตรวจสอบ ชี้แจง และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องซ้ำ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น

3. ผลกระทบต่อการดำเนินงานของโครงการ

  • เกิดความวุ่นวายในการลงทะเบียน/ใช้งาน: ข้อมูลเท็จอาจทำให้เกิดคำถามหรือข้อสงสัยจำนวนมากเข้ามาที่หน่วยงานรับผิดชอบ ทำให้การทำงานไม่ราบรื่น
  • กระทบต่อวัตถุประสงค์ของโครงการ: หากข้อมูลเท็จแพร่ออกไปจนผู้มีสิทธิ์จำนวนมากไม่เข้าร่วม ย่อมส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ผ่านโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

4. ผลกระทบทางสังคมโดยรวม

  • สร้างความแตกแยกทางสังคม: ข้อมูลที่บิดเบือนอาจถูกตีความไปในทางที่สร้างความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ได้รับสวัสดิการกับกลุ่มประชาชนทั่วไป
  • เพิ่มการแพร่กระจายของข่าวปลอมอื่น ๆ: เมื่อมีการแชร์ข้อมูลเท็จชุดหนึ่งได้ง่าย ก็จะยิ่งส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่นในการแชร์ข้อมูลอื่น ๆ ที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบตามมา

ภาพข้อความแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่เข้าใจผิด

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

  • หาแหล่งข่าวที่เป็นทางการ: โครงการของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องการเงินและสวัสดิการ จะต้องมีข้อมูลหลักจาก หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เท่านั้น ในกรณีนี้คือ กระทรวงการคลัง หรือ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
  • ค้นหาด้วย Google: นำ “หัวข้อข่าว” หรือ “ประโยคสำคัญ” ไปค้นหาใน Google เพื่อดูว่ามีสื่อหลักหรือหน่วยงานราชการได้เผยแพร่หรือชี้แจงข้อเท็จจริงไว้แล้วหรือไม่
  • สังเกตความผิดปกติของข้อมูล: ไม่มีชื่อแหล่งอ้างอิง ข้อมูลระบุเพียงว่า “โซเชียลแชร์” หรือ “มีคนบอกมา” แต่ไม่มีการอ้างถึงชื่อหน่วยงาน บุคคล หรือเว็บไซต์ที่เป็นทางการ หรือไม่?