Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาข่าวปลอมจาก : TikTok

ตรวจสอบแล้ว: คลิปอ้างประท้วงฟิลิปปินส์ต่อต้านการทุจริตโครงการป้องกันน้ำท่วม ที่แท้สร้างจาก AI
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ชุมนุมของฟิลิปปินส์กว่า 50,000 คน ต่อต้านการทุจริตโครงการป้องกันน้ำท่วม ทำให้มีการรายงานสถานการณ์ผ่านช่องทางสื่อและโซเชียลมากมาย ซึ่งการรายงานผ่านโซเชียลนั่นก็มีทั้งคลิปเหตุการณ์จริงและเหตุการณ์ไม่จริง
Thai PBS Verify ตรวจสอบพบบัญชี Tiktok มีการแชร์คลิปวิดีโอคนจำนวนมาก ออกมาชูป้ายเรียกร้องบนท้องถนน พร้อมข้อความระบุว่า “Massive crowd rally against corruption in The Philippines” แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ประชาชนชาวฟิลิปปินส์รวมตัวชุมนุมใหญ่ ต่อต้านการทุจริต” ถูกโพสต์เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 68 ซึ่งคลิปดังกล่าวมีผู้เข้าชมไปกว่า 480,900 ครั้ง รวมถึงแสดงความรู้สึกกว่า 15,900 ครั้ง และถูกแชร์ออกไปถึง 3,000 ครั้ง ซึ่งถือว่าจำนวนเอ็นเกจเมนต์มีจำนวนสูงมาก นอกจากนี้ยังพบคอมเมนต์บางส่วนสนับสนุนและเห็นด้วยกับการประท้วงดังกล่าว
วิธีสังเกตคลิป AI เบื้องต้น
เมื่อนำคลิปดังกล่าวเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่มีการรายงานจริง พบว่าบริเวณใบหน้าของผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เบลอจนมองไม่เห็นหน้าตาอย่างชัดเจน รวมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวของคนจริง ๆ นอกจากนี้ ภาพรวมของวิดีโออาจมีจุดผิดปกติ เช่น ป้ายหรือข้อความที่มองไม่ออกว่ามีตัวอักษรอะไร การเคลื่อนไหววนเป็นลูป เงาและแสงก็ไม่สัมพันธ์กับภาพ

ภาพสังเกตจุดที่ดูว่าเป็นคลิปวิดีโอที่สร้างจาก AI
ผลการตรวจสอบพบสร้างจาก AI
จากนั้นเพื่อยืนยันว่าเป็นคลิปจาก AI Thai PBS Verify ได้นำคลิปดังกล่าวไปตรวจสอบผ่านเครื่องมือ hivemoderation ซึ่งเป็นเครื่องมือตรวจสอบภาพที่สร้างจาก AI ปรากฎว่า ผลการตรวจสอบระบุว่า คลิปดังกล่าวถูกสร้างจาก AI ถึง 99 %

ภาพจากเครื่องมือ hivemoderation ตรวจสอบภาพดังกล่าวถูกสร้างจาก AI
เรื่องจริงเป็นอย่างไร ?
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 68 ชาวฟิลิปปินส์กว่า 50,000 คนออกมาชุมนุมบนถนนในกรุงมะนิลาต่อต้านการทุจริตโครงการป้องกันน้ำท่วม ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจมากถึง 118,500 ล้านเปโซ หรือประมาณ 205,549,389 บาท
การชุมนุมเริ่มต้นอย่างสันติ แต่บานปลายกลายเป็นการปะทะ เมื่อผู้ประท้วงบางส่วนจุดไฟเผายางรถบรรทุก ขว้างปาสิ่งของ และพยายามรื้อแผงกั้นของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องล่าถอยและจับกุมผู้ชุมนุมอย่างน้อย 17 คน
ผู้จัดการประท้วงระบุว่า เป้าหมายคือการประณามเจ้าหน้าที่, นักการเมือง และบริษัทก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ไม่ใช่การเรียกร้องให้ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ลาออก
ทั้งนี้ การประท้วงเกิดขึ้นในวันครบรอบ 53 ปี การประกาศกฎอัยการศึกของอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ผู้เป็นบิดาของผู้นำปัจจุบัน ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น หลังมีการสอบสวนทุจริต ซึ่งทำให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร และญาติของประธานาธิบดีต้องยื่นลาออก เพื่อเปิดทางให้การตรวจสอบดำเนินไปอย่างโปร่งใส
เมื่อภาพ AI สร้างการเมืองลวงโลก
รศ.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า ปกติข่าวที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว มักเป็น ข่าวใหญ่หรือเหตุการณ์สำคัญ เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ น้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว หรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ซึ่งล้วนสร้างความตื่นตัวและถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว ปริมาณข่าวจึงมากเป็นพิเศษ

รศ.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อีกกลุ่มคือ ข่าวความขัดแย้งของมนุษย์ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่น การชุมนุม การประท้วง การเดินขบวน หรือแม้แต่สงคราม เมื่อเกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้ผู้คนสนใจ ตื่นเต้น และมีพฤติกรรมส่งต่อข่าวอย่างกว้างขวาง ทั้งกับเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง
ในอดีต ข่าวลักษณะนี้มักเผยแพร่ผ่านการพูดคุย ซุบซิบ หรือบอกต่อ แต่ในยุคโซเชียล ข่าวถูกส่งต่ออย่างรวดเร็วแบบ “ไวรัล” ทำให้การแพร่กระจายยิ่งทวีคูณ และน่าห่วงตรงที่ เทคโนโลยีสมัยใหม่ยังสามารถ แต่งเติมหรือสร้างภาพปลอม ได้ เช่น ใช้ AI สร้างภาพเคลื่อนไหวหรือภาพเสมือนจริงของบุคคลจริง ทำให้ยากต่อการแยกแยะว่าอะไรจริง อะไรปลอม
หากมองในบริบทการเมืองไทย 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา ประเทศมีปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองสูง เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและผู้นำบ่อยครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันและการช่วงชิงอำนาจ เมื่อเป็นเช่นนี้ การสื่อสารทางการเมืองจึงไม่ได้จำกัดแค่ช่วงเลือกตั้ง แต่เกิดขึ้นทุกวันผ่านโลกออนไลน์ ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างพยายามสร้างภาพ สร้างกระแส และโจมตีคู่แข่ง ข่าวสารทางการเมืองที่แพร่ไปจึงมักมีอารมณ์และผลประโยชน์แฝงอยู่
เมื่อมีการชุมนุมหรือการเคลื่อนไหวนอกสภา ภาพมวลชนจำนวนมากที่ถูกเผยแพร่ออกไป ยิ่งถูกใช้เพื่อแสดงพลัง โน้มน้าวให้สังคมเชื่อว่านี่คือแนวทางที่ถูกต้อง และใช้เป็นเครื่องมือกดดันทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้ามได้ การเผยแพร่ข่าวสารในลักษณะนี้ไม่ได้จำกัดแค่สื่อมวลชน แต่ยังเปิดโอกาสให้ “นักสร้างคอนเทนต์” ใช้ประเด็นเหล่านี้เป็นจุดขาย ขยายความตื่นเต้นและสร้างความตระหนกในสังคม
ดังนั้น ผู้รับข่าวสารจึงแบ่งออกได้หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มที่คิดเหมือนเรา กลุ่มที่คิดต่าง และกลุ่มกลางที่ไม่ชัดเจน หากเราได้รับข่าวที่สงสัยว่าเป็นข่าวปลอม ควรใช้วิจารณญาณ ไม่ส่งต่อโดยไม่ตรวจสอบ เพราะการหยุดส่งต่อเท่ากับเราช่วยปกป้องสังคมส่วนรวมจากข้อมูลเท็จ
สุดท้ายแล้ว หากเราบริโภคข่าวปลอมซ้ำ ๆ ก็เหมือนกา0รกินอาหารปนสารปลอมที่บั่นทอนสุขภาพ การเลือกไม่ส่งต่อข่าวที่ไม่แน่ใจจึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยปกป้องทั้งตัวเราและสังคมไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการบิดเบือน