จากยุคที่ต้องชิงไหวชิงพริบกันด้วยพาดหัวทุกเช้าบนหน้าแผงหนังสือพิมพ์ มาสู่ยุคที่ใคร ๆ ก็กลายเป็นสื่อได้ในหน้าฟีดมือถือ จากวันที่ข่าวปลอมยังเดินทางอย่างเชื่องช้าผ่านทาง SMS สู่วันที่ข่าวแพร่กระจายเพียงเสี้ยววินาทีในโลกโซเชียล
ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ผู้ไม่หวังดีจำนวนหนึ่งเริ่มใช้ รูปแบบข่าวเป็นเครื่องมือบิดเบือนความจริง คัดแปะข้อความจากแหล่งข่าวจริง ใส่ภาพ ตกแต่งพาดหัวเร้าอารมณ์ให้ดูน่าเชื่อถือ เพื่อหลอกให้คนคล้อยตามหรือทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง บ้างก็ดูออกง่าย บางทีก็เนียนจนเผลอหลงเชื่อและกดแชร์ต่อ มารู้ตัวอีกที ข้อมูลที่ได้มานั้น เป็นข้อมูลเท็จ หรือเป็นข้อมูลจากเพจดัก
รศ. ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร อธิบายกระบวนการสร้างข่าวปลอมลักษณะนี้ว่า “การสร้างกระแสเทียม” ซึ่งอยู่ในร่มเงาของข่าวปลอมอีกที
รศ. ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
ข่าวปลอมคืออะไร ทำไมต้องปลอม
ดร.นิษฐา กล่าวว่า ข่าวปลอม หรือ Fake News คือข้อมูลที่ไม่เป็นจริงหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ที่ถูกสร้างขึ้นและเผยแพร่โดยตั้งใจ เพื่อหลอกลวงผู้อ่านหรือมีวัตถุประสงค์อื่น ในกรณีที่เป็นข่าวปลอมทางการเมือง นอกเหนือจากการสร้างเพื่อหวังผลมุ่งโจมตีคู่แข่งทางการเมือง ด้วยการบิดเบือนภาพลักษณ์ของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองคู่แข่งแล้ว ยังอาจเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเงินได้ด้วย เช่น ต้องการสร้างยอด engagement จากการคลิกหรือคอมเมนต์เพื่อหารายได้จากโฆษณาหรือเอายอดนั้นไปขายของ และอาจเป็นการรับจ้างโจมตีคู่แข่ง รวมถึงกรณีที่มีความเกี่ยวพันกับต่างประเทศ อาจเป็นเรื่องของการหวังผลการแทรกแซงการเมืองภายใน และสร้างความไม่มีเสถียรภาพในประเทศนั้น ๆ
นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังอาจเป็นเรื่องของการทดสอบการแพร่กระจาย ว่าข่าวปลอมแพร่ไปได้เร็วแค่ไหน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปล่อยข่าวปลอมอื่น ๆ ในอนาคต สิ่งนี้มักเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operations หรือ IO) ที่มีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว
โดยรูปแบบที่พบบ่อยของข่าวปลอมทางการเมือง คือ
- การสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ หรือกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานด้วยข้อมูลเท็จทั้งหมด
- รูปแบบที่มีข้อเท็จจริงบ้าง แต่ตัดต่อหรือบิดเบือนบริบท (ข้อมูลบางส่วนจริง) หรือบางครั้งอาจใช้คำว่า “Misleading Content”
- รูปแบบที่เรียกว่า “คลิกเบต” (Clickbait) หรือศัพท์บัญญัติว่า “พาดหัวยั่วให้คลิก” หมายถึงการใช้หัวข้อยั่วยุอารมณ์ เช่น โกรธ กลัว เกลียด หรือขำ เพื่อกระตุ้นให้คนกดเข้าไปอ่านและแชร์โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง
และเมื่อรูปแบบ Clickbait ถูกนำมาใช้กับข่าวลวง/ข่าวปลอมทางการเมือง มักจะมีลักษณะของการใช้คำพาดหัวแบบสุดโต่ง หวือหวา จนเกินความเป็นจริง โดยมีเป้าหมายคือ เน้นกระตุ้นอารมณ์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น โกรธ เกลียด แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนกระทั่งคนที่ดูหรืออ่านรู้สึกร่วม และส่งต่อออกไปโดยไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
“ข่าวปลอมยังถูกเผยแพร่ผ่านเพจที่ไม่เป็นทางการ หรือเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบสำนักข่าวหลัก เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับความไม่น่าเชื่อถือ ข่าวปลอมแบบ Clickbait ทางการเมืองจึงถือเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงมาก เพราะใช้กลไกของอารมณ์และความอยากรู้อยากเห็นมาบิดเบือนข้อเท็จจริงทางการเมือง”
กระบวนการสร้างข่าวปลอมแบบตัดแปะเลียนแบบสำนักข่าวจริง
ดร.นิษฐา ชี้ว่ากระบวนการสร้างข่าวปลอมลักษณะนี้ เริ่มต้นจาก
- เลือกเป้าหมาย ล็อคเป้าหมายหรือกำหนดว่าต้องการโจมตีใคร เรื่องอะไร รวมถึงเลือกสำนักข่าวที่จะปลอมแปลง
- สร้างเนื้อหา โดยการเขียนข่าวที่บิดเบือนหรือสร้างขึ้นใหม่ โดยการใช้หัวข้อที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง หรือโดยใส่รายละเอียดบางส่วนที่เป็นจริงเพื่อความน่าเชื่อถือ
- ออกแบบให้เหมือนจริง เช่น ลอกเลียนรูปแบบเว็บไซต์ข่าวจริง ผ่านการเลือกใช้โลโก้และสีที่คล้ายกัน รวมถึงมีการเพิ่มวันที่เวลาให้ดูเป็นทางการ
- เผยแพร่โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ บางกรณีอาจมีการสร้าง IO หรือหลาย Account โดยเฉพาะบัญชีปลอม (Fake Accounts) เข้ามาเพื่อทำให้ดูเป็นกระแส หรือ “สร้างกระแสเทียม” นอกจากเพื่อกระตุ้นให้คนแชร์ต่อด้วย ลักษณะของการใช้ IO ยังอาจเป็นไปเพื่อสร้าง “ห้องแห่งเสียงสะท้อน” หรือ “Echo Chamber” เพื่อทำให้ผู้รับสารรู้สึกว่า ข่าวนี้เป็นที่พูดถึงและน่าเชื่อถือจริง ๆ อีกด้วย
ภาพตัวอย่างข่าวปลอม ที่นำข้อความมาตัดแปะพร้อมภาพที่ไม่เกี่ยวข้อง
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า กระบวนการสร้างข่าวปลอมแบบนี้ทำได้ง่ายมาก เนื่องจากสามารถใช้แอปพลิเคชันตัดต่อภาพบนมือถือ หรือโปรแกรมตกแต่งภาพพื้นฐานบนคอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เช่น นำภาพของบุคคลสาธารณะ (ชาย) มาเป็นพื้นหลัง ตัดใส่กรอบสีแดงพร้อมข้อความตัวอักษรใหญ่ที่ดึงดูด นำภาพของบุคคลสาธารณะ (หญิง) มาตัดแปะใส่ในกรอบวงกลม พร้อมข้อความเสียดสีชี้เป้า หรือ clickbait เช่น ลักษณะของการใช้คำถามยั่วอารมณ์
ตัวอย่างข่าวปลอมลักษณะนี้ ได้แก่
- แชร์คำพูด “พิธา” ตัดงบ ขรก. บำนาญที่แท้ข่าวบิดเบือนเก่าปี 65
- แชร์กว่า 1,000 ครั้ง “ปูติน” ยกย่อง “กัน จอมพลัง” ฮีโร่ชาวไทย แท้จริงข่าวปลอม ลวงกดลิงก์หักเงินรายเดือน
- ตรวจสอบแล้ว: โพสต์อ้างสหรัฐฯ ส่งเครื่องกู้ทุ่นระเบิด DOK-ING ให้ไทย ด้าน TMAC ยันไม่เคยใช้รุ่นนี้
- ตรวจสอบแล้ว : เพจดังอ้าง ทภ.2 “เตรียมทหารครึ่งหมื่น” พร้อมปะทะกัมพูชา แท้จริงเป็นแถลงการณ์ประเมินจิตใจทหาร
จับโป๊ะอย่างไร ไม่ให้ข่าวปลอมเล่นงานเรา
ดร.นิษฐา กล่าวว่าต้อง “เอ๊ะ” ก่อนเสมอเมื่อได้รับข้อมูลมา หรือข้อสังเกตต่อสิ่งที่ได้เห็นได้อ่าน โดยมีวิธีรับมือข่าวปลอมได้ดังนี้
- หากเป็นข่าวปลอมจะไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน ไม่มีชื่อสำนักข่าว รวมถึงไม่มีลิงก์ข่าวจริงให้กดเข้าไปอ่านหรือตรวจสอบต่อ
- การออกแบบที่ดูสมัครเล่น เช่น แบบกราฟิกไม่เป็นมาตรฐานเหมือนสำนักข่าวมืออาชีพ ตัวอักษรและการจัดวางดูไม่เป็นมืออาชีพ ไม่มีแม้กระทั่งสัญลักษณ์ยืนยัน เช่น Official logo, Byline, Timestamp
- เนื้อหาไร้สาระ เกินจริง เช่น กรณี “ฮุนเซน” เชิญ “ไอซ์ รักชนก” ย้ายไปอยู่กัมพูชาพร้อมตำแหน่งภรรยาหมายเลข 1 เป็นข่าวปลอม ที่อ้างว่า“แต่งตั้งไอซ์ รักชนก เป็นกรรยาหมายเลข 1” ซึ่งไม่สมเหตุสมผล
- ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม (Cross-Check) จากเครื่องมือตรวจสอบภาพ อย่าง Google Lens เพื่อย้อนหาที่มาต้นตอของภาพจริง
“เรื่องนี้อันตรายมาก เพราะไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของการใส่ร้ายและสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ แต่การเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทำให้ยากต่อการลบ เมื่อแพร่ออกไปแล้ว ไม่มีทางควบคุมหรือลบออกจากระบบได้หมด สำคัญคือผลที่เกิดขึ้นกับคนว่า แม้แต่ข่าวจริงก็อาจจะทำให้คนไม่ไว้วางใจ อาจจะเริ่มไม่เชื่อแม้แต่ข่าวจริงก็ได้
ดังนั้น อย่าให้ภาพหลอกใจ พวกภาพกราฟิกที่ดูเหมือนจริงอาจถูกตัดแปะได้ง่าย อย่าปล่อยให้สี ฟอนต์ หรือโลโก้หลอกให้เชื่อว่า เป็นของสำนักข่าวจริง ให้หยุดดูว่าใครเป็นคนโพสต์ แหล่งข่าวมาจากไหน ก่อนจะตัดสินหรือแชร์ต่อ” รศ. ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม กล่าว
ปรากฏการณ์ของมีม-ข่าวปลอมล้อการเมือง
นอกจากนี้เรายังพบข่าวปลอมลักษณะนี้ แต่ใช้เทคโนโลยี AI มาเสริมด้วย อย่างกรณีข่าว ตรวจสอบพบ: ภาพทักษิณ ตัดผมเกรียน-สักเต็มตัว สวมชุดผู้ต้องขัง แท้จริงสร้างจาก AI นำภาพอดีตนายกฯ ทักษิณไปสร้างใหม่ด้วย AI พร้อมคำบรรยาย และใช้รูปแบบ Template แบบสำนักข่าว
ด้าน รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ มองถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นปรากฏการณ์คล้ายช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าการสร้างภาพปลอมล้อเลียนด้วย AI มีจุดประสงค์เพื่อสร้างยอด Engagement ซึ่งนำไปสู่รายได้ของเพจดังและเหล่าอินฟลูเอนเซอร์
และแม้ว่าการดัดแปลงภาพหรือการล้อเลียนบุคคลสาธารณะ หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าจะเป็น Freedom of Speech หรือ Freedom of Expression (เสรีภาพในการแสดงออก) รศ. ดร.วิไลวรรณ มองว่า กรณีนี้จำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตความเหมาะสม และตระหนักถึงหลักการการมี Empathy (ความเห็นอกเห็นใจ)
“ลองคิดว่า ถ้าเราถูกล้อเลียนในลักษณะเดียวกัน เราจะรู้สึกสนุกหรือไม่
หากลูกหลานของตระกูลชินวัตรก็คงไม่รู้สึกสนุก พวกเขาก็อาจจะรู้สึกเจ็บปวดในแบบของเขา”
“ความน่ากลัวอีกอย่างคือ เรื่องของการแสดงความคิดเห็น ที่เหมือนกับเอารูปของคนที่เรารัก มาขึงกลางสี่แยก แล้วทุกคนก็เอาหินมาปา แบบภาพในสมัยอดีต ไม่ต่างการเขียนด่าคอมเมนต์เสีย ๆ หาย ๆ ระบบนิเวศสื่อเต็มไปด้วยอคติ ซึ่งมันขยายอารมณ์ของเรื่องดราม่านั้น ๆ ให้รุนแรงมากขึ้น”
รศ. ดร.วิไลวรรณ ขยายภาพในอดีตให้เห็นว่า การล้อเลียนการเมืองมักปรากฏในรูปแบบของคอลัมน์การ์ตูน ซึ่งถูกจัดวางไว้ในพื้นที่เฉพาะอย่างชัดเจน เช่น คอลัมน์การเมืองของหนังสือพิมพ์ ยกตัวอย่างเช่น “ผู้จัดกวน” ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้อ่านรับรู้โดยทั่วไปว่า เป็นการแสดงความเห็นหรือเสียดสี ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
“ในปัจจุบันพื้นที่มันเบลอปนกันไปหมด เมื่อก่อนพื้นที่ข่าวก็คือข่าว
คอลัมน์ก็คือพื้นที่แสดงความเห็นของผู้เขียน ซึ่งมีความชัดเจนว่า เป็นความเห็นส่วนตัว เช่นเดียวกับการ์ตูนที่มีชื่อผู้เขียนชัดเจน ใครคือผู้รับผิดชอบเนื้อหาชิ้นนี้ แต่ทุกวันนี้ เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างภาพ AI ขึ้นมา และคนก็แชร์ต่อกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งหากคนมีอคติ คนพร้อมจะเชื่อว่า ข้อมูลคือความจริง หรือแม้พยายามจะนำเสนอความไม่จริงให้จริง”
“ความน่ากลัวคือ สื่อบางรายรู้ว่าเป็นของปลอม แต่ก็ยังนำเสนอเพราะต้องการยอดขายหรือยอดผู้ชม ซึ่งสะท้อนถึงความไม่รับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตัวเอง”










