Loading...

แชร์

Copied!

ตรวจสอบแล้ว: “ฮุนเซน” เชิญ “ไอซ์ รักชนก” ย้ายไปอยู่กัมพูชาพร้อมตำแหน่งภรรยาหมายเลข 1 เป็นข่าวปลอม

25 ต.ค. 6809:45 น.
การเมือง#ข่าวปลอม
ตรวจสอบแล้ว: “ฮุนเซน” เชิญ “ไอซ์ รักชนก” ย้ายไปอยู่กัมพูชาพร้อมตำแหน่งภรรยาหมายเลข 1 เป็นข่าวปลอม

โพสต์อ้าง “ฮุน เซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เชิญ “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก ไปอยู่ที่กัมพูชาและมอบตำแหน่งภรรยาหมายเลข 1 เป็นข้อมูลเท็จ ขณะที่นักวิชาการด้านเพศภาวะและเพศวิถีชี้ว่าข่าวลักษณะนี้สะท้อนการใช้เรื่องอื้อฉาวทางเพศ เป็นเครื่องมือลดทอนความชอบธรรมทางการเมืองและทำร้ายวัฒนธรรมการเมืองเชิงเหตุผล รวมถึงขัดต่อความพยายามสร้างความเท่าเทียมทางเพศในสังคม

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก : Facebook

Thai PBS Verify ตรวจสอบพบบัญชีผู้ใช้ Facebook รายหนึ่งโพสต์อ้าง “ฮุนเซน” เชิญ “ไอซ์”รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ให้ไปอาศัยที่กัมพูชาพร้อมมอบตำแหน่งภรรยาหมายเลข 1 โดยเนื้อหาดังกล่าวเผยแพร่ในกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า ข่าวกันจอมพลัง เมื่อวันที่ 21 ต.ค 68 ระบุว่า

ฮุนเซน ประกาศ ยินดีให้ ไอซ์ รักชนก มาอยู่ที่กัมพูชา พร้อมให้ตำแหน่ง ภรรยาหมายเลข 1

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวมีผู้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมากกว่า 800 ครั้ง มีทั้งเชื่อและไม่เชื่อข้อมูลดังกล่าว รวมทั้งมียอดถูกใจกว่า 2,900 ครั้ง

ซึ่งโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ท่ามกลางกระแสข่าวที่ สส. รักชนก ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการจัดตั้งมูลนิธิของนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง รวมถึงกรณีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์หรือไม่ 

ไอซ์ รักชนก ยืนยันข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จ 

ไอซ์ รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวที่อ้างถึงตนและฮุนเซนนั้น เป็นข่าวปลอม และย้ำว่าแม้ข้อมูลดังกล่าวจะสร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับการล้อเลียนทางการเมือง แต่คนสร้างข่าวควรจะมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะเรื่องการรู้เท่าทันสื่อในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่อาจจะเข้าใจผิดได้

“พูดจริง ๆ คนบางคนที่รู้ว่าข่าวปลอมแล้วก็แชร์ด้วยความฮา สำหรับเรา เรารู้สึกไม่ตลกด้วย เรารู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่เวลาหลายคนแชร์ไปด้วยความตลกหรือว่าไม่กดรีพอร์ตเพราะว่ารู้สึกว่ามันตลก แต่ว่าการส่งต่อข้อมูลแบบนี้มันมีคนเชื่อจริง ๆโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่รู้เท่าทันสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนผู้สูงอายุ ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่สังคมต้องช่วยกันอย่าส่งต่อข้อมูลที่เป็น Fake News”

สส.เสริมว่าแม้การส่งต่อข้อมูลที่เป็นลักษณะภาพ อาจจะมีบางคนหลงเชื่อและเข้าใจผิดได้ หากมีข่าวเท็จที่สร้างด้วยเทคโนโลยี AI อาจจะเป็นความน่ากังวลมากขึ้นด้วยเช่นกัน หากไม่ส่งเสริมเรื่องการรู้เท่าทันสื่อ ในอนาคตผู้เสพสื่อในกลุ่มผู้สูงอายุอาจเป็นเหยื่อข่าวลวง หรืออาชญากรรมออนไลน์ได้ในอนาคต

ข่าวปลอม-ความเป็นหญิง-ใต้สะดือ สะท้อนการเมืองที่ล้าหลัง

สำหรับคำกล่าวอ้างที่ว่า ฮุนเซน ประกาศ ยินดีให้ ไอซ์ รักชนก มาอยู่ที่กัมพูชา พร้อมให้ตำแหน่ง ภรรยาหมายเลข 1 อาจารย์ ดร.ชเนตตี ทินนาม นักวิชาการด้านเพศภาวะและเพศวิถี อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองถึงปรากฏการณ์ข่าวปลอมในลักษณะนี้ว่า เป็นการโจมตีเพื่อลดทอนความชอบธรรมคู่แข่งทางการเมือง โดยเฉพาะการหยิบประเด็นเรื่อง “เพศ” มาใช้ เป็นวิธีการที่ล้าหลังและไม่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะการเป็น “ผู้หญิง” ในเวทีการเมือง พื้นที่ที่ถูกยึดไว้ด้วยสัดส่วนปริมาณผู้ชายที่มากกว่า การถูกผลักให้มีบทบาทเพียงแม่หรือภรรยาใครสักคน เป็นเหมือนการผลักให้ออกจากพื้นที่ผ่านวาทกรรม หรือ ข่าวปลอมนั้น เป็นวิธีง่าย ๆ ในการกลบเสียงการต่อสู้และความคิดเห็นของผู้หญิง 

ดร.ชเนตตี ทินนาม นักวิชาการด้านเพศภาวะและเพศวิถี อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อมองย้อนกลับไปตั้งแต่หลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 (ค.ศ. 1932) ผู้หญิงสามารถเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้ อย่างการมีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้งรวมไปถึงการลงสมัครเลือกตั้ง แต่ทว่าการถูกโจมตีด้วย “เรื่องอื้อฉาวทางเพศ” นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการที่ผู้หญิง เริ่มมีอำนาจและบทบาทการเป็นผู้นำ และการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางของสังคม เพียงแค่เปลี่ยนหน้าตาของข่าวปลอมจากสิ่งพิมพ์สู่ยุคเทคโนโลยี AI แต่จุดประสงค์ยังเหมือนเดิม ราวกับถูกแช่แข็งไว้เกือบร้อยปีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 

ที่มา: ภาพประกอบบทความเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในไทย โดย พิพิธภัณฑ์รัฐสภา

“เราเห็นการนำผู้หญิงในพื้นที่การเมืองมาเชื่อมโยงกับเรื่องอื้อฉาวทางเพศ ตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ทางการเมือง ด้วยการโจมตีป้ายสีทางเพศ ที่จะเบี่ยงประเด็นเพื่อดิสเครดิตผู้หญิงและทำให้ผู้หญิงหมดความชอบธรรมในเรื่องที่พวกเธอกำลังต่อสู้อยู่”

“เช่นเดียวกับกรณีคุณไอซ์ รักชนก ที่สังคมไม่ได้สนใจประเด็นที่คุณไอซ์กำลังต่อสู้หรือสื่อสารอยู่ ทำให้สังคมไม่ได้พยายามหาคำตอบในเรื่องที่เธอกำลังพูดถึง รวมถึงถูกฝ่ายตรงข้ามดึงเอาประเด็นทางเพศมาโจมตี เพราะฉะนั้นสังคมก็พลาดโอกาสในการที่จะเรียนรู้ หรือรับรู้ข้อเท็จจริง ของสิ่งที่กำลังตั้งคำถามและตรวจสอบความโปร่งใส”

 “ผู้หญิงที่ดีต้องไร้ความอื้อฉาวทางเพศ” : โซ่มายาคติที่ล่ามผู้หญิงไม่ให้มีบทบาท

นอกจากการใช้เครื่องมือทำลายความชอบธรรมของเพศหญิงผ่าน “การด้อยค่าทางเพศ”  ดร.ชเนตตี กล่าวว่าหากมองในมุมสตรีนิยม การดิสเครดิตผู้หญิงในลักษณะดังกล่าว ไม่เพียงแค่ทำร้ายบุคคลที่โดนกระทำแบบปัจเจกเท่านั้น แต่ยังสะเทือนผลต่อเพศหญิงทุกคน ซึ่งเมื่อกรณีแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลายครั้ง อาจทำให้ผู้หญิงทุกคนรู้สึกหมดพลังโดยปริยายที่จะลุกขึ้นมาทำงานในพื้นที่สาธารณะ เพราะการลุกขึ้นสู้กับคนที่มีอำนาจสนับสนุนอยู่ มักจะถูกบิดประเด็นไปสู่เรื่องอื้อฉาวทางเพศ จากค่านิยม “ผู้หญิงที่ดีต้องไร้มลทินและเรื่องอื้อฉาว”

“อย่างที่เรารู้กัน สังคมยังติดกับดักมายาคติว่าต้องโทษผู้หญิงในเรื่องเพศ นี่คือค่านิยมล้าหลังที่ฝังอยู่ในความคิด โครงสร้าง และวัฒนธรรมการเมืองยาวนาน ว่าผู้หญิงที่ดีจะต้องไม่มีเรื่องอื้อฉาวทางเพศ ดังนั้นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยทางการเมืองมักจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นข้อโต้แย้งง่าย ๆ เพื่อทำลายโอกาสของผู้หญิง ซึ่งเท่ากับทำลายโอกาสของสังคมด้วย เรามีผู้หญิงที่มีศักยภาพจำนวนมาก ที่สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้นำและเปลี่ยนแปลงสังคมได้ แต่เมื่อเอาเรื่องอื้อฉาวทางเพศมาเป็นเครื่องมือโจมตี จะยิ่งทำให้ระบบความยุติธรรมในเรื่องเพศ สะท้อนความไม่เป็นธรรม สังคมจะถอยหลัง และสร้างความหวาดกลัวให้กับเด็กผู้หญิง ที่อาจเป็นอนาคตทางการเมืองในวันข้างหน้า อีกหลายร้อย หลายพันคนจะถูกกล่อมให้ไม่กล้าก้าวขึ้นมา”

“เด็กผู้หญิงที่คิดจะเติบโตในพื้นที่ทางการเมือง และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ  จะถูกผลักให้กลายเป็นผู้ที่ต้องเสียหายในเรื่องเพศ ถูกจับจ้องที่เรื่องส่วนตัวและร่างกาย ดังนั้นอยากให้สังคมคืนสติและความรับผิดชอบ หากเผชิญกับข่าวในลักษณะนี้ ต้องหยุดคิดและไม่ส่งต่อ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเด็นการต่อสู้ทางการเมืองเลย”

“ผู้หญิงต้องมีอำนาจภายในมากพอขนาดไหน ที่จะก้าวข้ามการเมืองสกปรกในลักษณะนี้ ดังนั้นเราต้องช่วยกันสนับสนุนผู้หญิงในสังคม และทำให้ทุกคนรับรู้ว่า เมื่อมีผู้หญิงถูกกระทบในเรื่องทางเพศ ทุกคนในสังคมก็ได้รับผลกระทบด้วย หากเราไม่ปกป้องผู้หญิงที่มีความสามารถให้กล้ายืนเป็นผู้นำในทางการเมืองต่อไป การเมืองรุ่นต่อ ๆ ไปอาจถูกครอบงำโดยเพศใดเพศหนึ่ง และกลายเป็นการเมืองที่ขาดความหลากหลายและสมดุลทางเพศและความหลากหลาย ซึ่งความหลากหลายจะนำมาซึ่งการนับรวมความต้องการของผู้คนทั่วทั้งสังคม แต่ถ้าการเมืองถูกนำโดยคนเพียงบางเพศ ความหลากหลายในบางพื้นที่ หรือประเด็นจะหายไป ดังนั้นเราไม่ควรให้ผู้หญิงต้องถูกทำให้เสื่อมเสียจากเรื่องที่ไม่เป็นความจริง”

สร้างกระแสความเกลียดชังผ่าน “ชาตินิยม” และหล่มของ “ปิตาธิปไตย”

อีกในแง่หนึ่งการโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยข่าวปลอม ที่พาดพิงถึงฮุน เซน ซึ่งภาพจำของตัวแทนผู้นำกัมพูชา ดร.ชเนตตี มองว่าการสร้างข่าวปลอมลักษณะนี่เป็นการผลักให้ผู้หญิงออกจากพื้นที่การเมือง ผ่านการปลุกกระแสชาตินิยม ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ในการลดความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม และปลุกกระแสความเกลียดชัง เพราะคนในสังคมอาจถูกชักนำให้มองว่าใครบางคนเป็น ‘คนนอก’ หรือเป็น ‘ภัย’ โดยผู้ที่มีความคิดชนชาตินิยมสุดโต่งสามารถใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการโหมกระพือความเกลียดชังได้ง่าย

“เราควรคืนความเป็นมนุษย์ให้กับนักการเมืองหญิงทุกคน เพื่อพาสังคมไปสู่การเมืองที่ยึดหลักเหตุผลและข้อเท็จจริง มากกว่าการกระพือข่าวลือที่ไม่เป็นจริง สังคมไทยต้องออกจากวังวนการใช้ข่าวลือโจมตีกันในเรื่องเพศได้แล้ว เพราะความเสมอภาคทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย”  ดร.ชเนตตี ทินนาม

รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน

ด้าน รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ผู้เสียหายจากข่าวปลอมดังกล่าว ได้ขยายภาพว่า นอกจากเรื่องของความเป็นสังคมชายเป็นใหญ่แล้ว ทุกคนอาจจะไม่ได้ยอมรับผู้หญิงในฐานะ ส.ส. อย่างไร้ข้อกังขา เพราะการเป็นผู้หญิง มักจะถูกตั้งคำถามในทุก ๆ เรื่องเสมอ

“เวลาที่เราจะไปใกล้ชิดกับนักการเมืองผู้ชายในพรรคเดียวกัน ก็มักจะถูกตั้งคำถามว่า “ทำไมถึงไปนั่งกินข้าวกับคนนี้บ่อย” หรือ “ทำไมถึงไปคุยงานที่ห้องกับคนนั้นบ่อย” ทั้งที่จริง ๆ แล้วเราคุยกับทุกคนเหมือนกันหมด แต่ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกัน ไปกินข้าวด้วยกันหรือทำกิจกรรมร่วมกัน กลับไม่มีใครมองเป็นเรื่องผิด แต่พอเป็นผู้หญิงกลับต้องระวังไม่ให้ถูกตีความ ต้องรักษาระยะห่างตลอดเวลา

“สิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้าเราเป็นผู้ชาย รวมถึงยังมีเรื่องของการคุกคามในสภาผ่านคำพูดที่ไม่ระวัง เช่น พูดถึงกระโปรง พูดถึงหน้า บางคนบอกว่า “พี่ละสายตาจากไอซ์ไม่ได้เลย” หรือ “ทุกคนมองกระโปรงไอซ์หมด” สิ่งเหล่านี้เรารู้สึกว่ามันน่ารังเกียจมาก แต่กลับถูกพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ พอเตือนก็หาว่าเราคิดมาก หรือบอกว่า “แซวเล่นเฉย ๆ” ทั้งที่เรารู้สึกซีเรียสและไม่ตลกเลย”

บางครั้งยังมีคนพูดถึงรูปเก่าของเรา ทั้งรูปชุดว่ายน้ำหรือรูปถ่ายแบบต่าง ๆ บอกว่า “เป็น ส.ส. แล้วไม่ควรมีรูปแบบนี้” หรือ “ไม่เหมาะสมกับภาพลักษณ์นักการเมืองหญิง” ซึ่งจริง ๆ แทนที่คนจะโฟกัสที่เนื้องาน กลับไปสนใจเรื่องเล็ก ๆ อย่าง กระโปรงสั้น แต่งหน้า ใส่เสื้อรัดรูป หรือไม่ใส่รองเท้าหุ้มส้น มันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องเผชิญมากกว่าผู้ชายอย่างชัดเจน

สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่า เวลาผู้หญิงถูกวิจารณ์ในสังคม มักถูกบิดประเด็นได้ง่าย เช่น “เป็นผู้หญิงแต่งตัวแบบนี้จะมาสั่งสอนคนอื่นได้ยังไง”หรือเมื่อเรากำลังตรวจสอบใครบางคน ก็มักถูกย้อนกลับมาด้วยคำพูดทำนองว่า “คุณมีสิทธิ์อะไรจะตรวจสอบคนอื่น ในเมื่อคุณเองก็เคยมีรูปไม่เหมาะสม” บางครั้งถึงขั้นถูกโยงไปเรื่องอื่น เช่น “คุณเป็นพวกมีคดี 112” หรือ “คุณอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถาบัน” เพื่อเบี่ยงประเด็นไม่ให้คนสนใจการตรวจสอบจริง ๆ

เรื่องจริงเป็นอย่างไร

เนื้อหาที่อ้างว่า “ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศเชิญ ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ไปอยู่ที่กัมพูชา และแต่งตั้งให้เป็นภรรยาหมายเลข 1” เป็น ข่าวปลอม  

ผลการตรวจสอบ ทีมตรวจสอบไม่พบข้อมูลใด ๆ จาก สื่อทางการของกัมพูชา, เว็บไซต์ทางการของรัฐบาลกัมพูชา หรือ สำนักต่างประเทศที่ยืนยันว่า “ฮุน เซน” เคยกล่าวหรือมีท่าทีตามที่โพสต์อ้างไว้

ส่วนภาพและข้อความในโพสต์ดังกล่าวถูก เผยแพร่ในกลุ่ม Facebook ที่ใช้ชื่อว่า “ข่าวกันจอมพลัง” เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยเผยแพร่เนื้อหาล้อเลียนทางการเมืองหลายครั้ง รวมถึง ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ได้ออกมา ยืนยันด้วยตนเองว่าเป็นข่าวเท็จ พร้อมระบุว่าแม้เนื้อหาดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในลักษณะ “ล้อเลียน” แต่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และอาจทำให้ผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่รู้เท่าทันสื่อเข้าใจผิดได้

 

กระบวนการตรวจสอบ

  1. ตรวจสอบจากสื่อทางการของกัมพูชา: ตรวจสอบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการของรัฐบาลกัมพูชาและสำนักข่าวหลัก เช่น Agence Kampuchea Press (AKP), Fresh News Asia, และ Khmer Times ไม่มีหลักฐานว่ามีการให้สัมภาษณ์หรือประกาศเชิญนักการเมืองไทยตามที่โพสต์กล่าวอ้าง รวมถึง Facebook ของฮุนเซน ไม่พบรายงาน ข่าว หรือถ้อยแถลงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องตามข่าวปลอมที่อ้างไว้
  2. ตรวจสอบที่มาของโพสต์ต้นทาง: พบว่าโพสต์ถูกเผยแพร่ในกลุ่ม Facebook ชื่อ “ข่าวกันจอมพลัง” เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 ซึ่งกลุ่มดังกล่าวเคยเผยแพร่เนื้อหาในลักษณะล้อเลียนทางการเมืองหลายครั้ง และไม่ได้เป็นสื่อที่มีการยืนยันตัวตนหรือความน่าเชื่อถือของผู้เผยแพร่
  3. ตรวจสอบภาพและเนื้อหาประกอบด้วย Google Lens: เมื่อนำภาพของฮุนเซนจากโพสต์ดังกล่าวไปตรวจสอบด้วย Google Lens ไม่พบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด 

ภาพประกอบที่ใช้เป็นภาพแฟ้มภาพของ “ฮุน เซน” จากสื่อในโอกาสอื่น และไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “รักชนก ศรีนอก” รวมถึงข้อความในโพสต์ไม่มีแหล่งอ้างอิงหรือหลักฐานสนับสนุน

4.ตรวจสอบกับบุคคลที่ถูกกล่าวถึงโดยตรง: “รักชนก ศรีนอก” ยืนยันกับ Thai PBS Verify ว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และเป็นข่าวปลอมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการล้อเลียนทางการเมือง เธอระบุว่าข่าวปลอมลักษณะนี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และอาจทำให้ผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่รู้เท่าทันสื่อเข้าใจผิดได้

ผลกระทบของข้อมูลเท็จเหล่านี้

1. ทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบุคคล: รักชนก ศรีนอก ถูกพาดพิงด้วยข้อความที่ไม่เป็นความจริง ส่งผลต่อภาพลักษณ์ในฐานะ ส.ส. และนักการเมืองหญิง ซึ่งการเชื่อมโยงกับเรื่องเพศหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นการบิดเบือนประเด็นทางการเมืองให้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวส่วนตัว ส่งผลทำให้ประชาชนบางส่วนคล้อยตามความเข้าใจผิด และลดทอนความชอบธรรมของผู้ถูกกล่าวหา

 2. บิดเบือนประเด็นสาธารณะและลดคุณค่าการตรวจสอบ: ข่าวปลอมทำให้สังคมดึงความสนใจจากประเด็นสำคัญ เช่น การตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสของมูลนิธิหรือการทำงานของผู้มีอำนาจ ประเด็นการตรวจสอบถูกรื้อทิ้ง กลายเป็นเรื่อง ปัจเจกแทนที่จะถกเถียงด้วยเหตุผล
3. ตอกย้ำมายาคติและความเหลื่อมล้ำทางเพศ: การใช้เรื่องเพศเป็นเครื่องมือดิสเครดิตนักการเมืองหญิง ส่งผลให้ผู้หญิงที่ต้องการเข้ามามีบทบาททางการเมืองรู้สึกกลัวว่า จะถูกโจมตีหรือคุกคาม รวมถึงสะท้อนถึงวัฒนธรรมการเมืองแบบชายเป็นใหญ่ (ปิตาธิปไตย) ที่ยังไม่เปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงอย่างเท่าเทียม

4. กระทบต่อความรู้เท่าทันสื่อของประชาชน: กลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่คุ้นชินกับเทคโนโลยี มีโอกาสสูงที่จะเชื่อและส่งต่อข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบ 

5. สร้างบรรยากาศเกลียดชังและแตกแยกในสังคม: ข่าวปลอมลักษณะนี้อาจปลุกกระแสชาตินิยมสุดโต่ง (nationalism) หรือการดูหมิ่นผู้อื่นด้วยอคติทางเพศและเชื้อชาติ ก่อให้เกิดการดูถูก หรือใช้ถ้อยคำเหยียดเพศในพื้นที่ออนไลน์ รวมถึงเป็นการทำลายวัฒนธรรมการเมืองเชิงเหตุผล และทำให้การถกเถียงในสังคมเสื่อมถอย

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

1.ตรวจสอบก่อนแชร์: อย่าแชร์ทันที ควรตรวจสอบว่าข้อมูลมาจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น สำนักข่าวหลัก หน่วยงานรัฐ หากไม่พบข่าวจากสื่อหลักในช่วงเวลาเดียวกัน มีแนวโน้มสูงว่าเป็นข่าวปลอม
2. ตรวจสอบความจริงจากหลายแหล่ง: 

  • ใช้การค้นหาย้อนกลับ (Reverse image search) เพื่อตรวจสอบภาพว่า มีที่มาเดิมจากไหน
  • พิมพ์คำค้นหาเฉพาะ เช่น “ฮุน เซน ไอซ์ รักชนก ข่าวจริงไหม” เพื่อดูผลจากหน่วยงานตรวจสอบข่าวปลอม
  • ดูวันที่เผยแพร่และบริบท ว่ามีความสอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันหรือไม่

3. รายงานโพสต์ที่เป็นข่าวปลอม

  • หากพบใน Facebook, X (Twitter), TikTok หรือแพลตฟอร์มอื่น ให้กด “รายงาน (Report)”
  • การรายงานช่วยให้แพลตฟอร์มจำกัดการเผยแพร่เนื้อหาที่เป็นเท็จ

 4. อย่าสนับสนุนการล้อเลียนหรือคอมเมนต์เหยียดเพศ: ควรเคารพสิทธิ์และศักดิ์ศรีของผู้ถูกพาดพิง โดยไม่ซ้ำเติม