Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก : Facebook
Thai PBS Verify ตรวจสอบพบบัญชีผู้ใช้ Facebook รายหนึ่งโพสต์อ้าง “ฮุนเซน” เชิญ “ไอซ์”รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ให้ไปอาศัยที่กัมพูชาพร้อมมอบตำแหน่งภรรยาหมายเลข 1 โดยเนื้อหาดังกล่าวเผยแพร่ในกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า ข่าวกันจอมพลัง เมื่อวันที่ 21 ต.ค 68 ระบุว่า
ฮุนเซน ประกาศ ยินดีให้ ไอซ์ รักชนก มาอยู่ที่กัมพูชา พร้อมให้ตำแหน่ง ภรรยาหมายเลข 1
ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวมีผู้คนเข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมากกว่า 800 ครั้ง มีทั้งเชื่อและไม่เชื่อข้อมูลดังกล่าว รวมทั้งมียอดถูกใจกว่า 2,900 ครั้ง
ซึ่งโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ท่ามกลางกระแสข่าวที่ สส. รักชนก ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการจัดตั้งมูลนิธิของนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง รวมถึงกรณีดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์หรือไม่
ไอซ์ รักชนก ยืนยันข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จ
ไอซ์ รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวที่อ้างถึงตนและฮุนเซนนั้น เป็นข่าวปลอม และย้ำว่าแม้ข้อมูลดังกล่าวจะสร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับการล้อเลียนทางการเมือง แต่คนสร้างข่าวควรจะมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะเรื่องการรู้เท่าทันสื่อในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่อาจจะเข้าใจผิดได้

“พูดจริง ๆ คนบางคนที่รู้ว่าข่าวปลอมแล้วก็แชร์ด้วยความฮา สำหรับเรา เรารู้สึกไม่ตลกด้วย เรารู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่เวลาหลายคนแชร์ไปด้วยความตลกหรือว่าไม่กดรีพอร์ตเพราะว่ารู้สึกว่ามันตลก แต่ว่าการส่งต่อข้อมูลแบบนี้มันมีคนเชื่อจริง ๆโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่รู้เท่าทันสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนผู้สูงอายุ ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่สังคมต้องช่วยกันอย่าส่งต่อข้อมูลที่เป็น Fake News”
สส.เสริมว่าแม้การส่งต่อข้อมูลที่เป็นลักษณะภาพ อาจจะมีบางคนหลงเชื่อและเข้าใจผิดได้ หากมีข่าวเท็จที่สร้างด้วยเทคโนโลยี AI อาจจะเป็นความน่ากังวลมากขึ้นด้วยเช่นกัน หากไม่ส่งเสริมเรื่องการรู้เท่าทันสื่อ ในอนาคตผู้เสพสื่อในกลุ่มผู้สูงอายุอาจเป็นเหยื่อข่าวลวง หรืออาชญากรรมออนไลน์ได้ในอนาคต
ข่าวปลอม-ความเป็นหญิง-ใต้สะดือ สะท้อนการเมืองที่ล้าหลัง
สำหรับคำกล่าวอ้างที่ว่า ฮุนเซน ประกาศ ยินดีให้ ไอซ์ รักชนก มาอยู่ที่กัมพูชา พร้อมให้ตำแหน่ง ภรรยาหมายเลข 1 อาจารย์ ดร.ชเนตตี ทินนาม นักวิชาการด้านเพศภาวะและเพศวิถี อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองถึงปรากฏการณ์ข่าวปลอมในลักษณะนี้ว่า เป็นการโจมตีเพื่อลดทอนความชอบธรรมคู่แข่งทางการเมือง โดยเฉพาะการหยิบประเด็นเรื่อง “เพศ” มาใช้ เป็นวิธีการที่ล้าหลังและไม่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะการเป็น “ผู้หญิง” ในเวทีการเมือง พื้นที่ที่ถูกยึดไว้ด้วยสัดส่วนปริมาณผู้ชายที่มากกว่า การถูกผลักให้มีบทบาทเพียงแม่หรือภรรยาใครสักคน เป็นเหมือนการผลักให้ออกจากพื้นที่ผ่านวาทกรรม หรือ ข่าวปลอมนั้น เป็นวิธีง่าย ๆ ในการกลบเสียงการต่อสู้และความคิดเห็นของผู้หญิง
ดร.ชเนตตี ทินนาม นักวิชาการด้านเพศภาวะและเพศวิถี อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อมองย้อนกลับไปตั้งแต่หลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 (ค.ศ. 1932) ผู้หญิงสามารถเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้ อย่างการมีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้งรวมไปถึงการลงสมัครเลือกตั้ง แต่ทว่าการถูกโจมตีด้วย “เรื่องอื้อฉาวทางเพศ” นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการที่ผู้หญิง เริ่มมีอำนาจและบทบาทการเป็นผู้นำ และการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางของสังคม เพียงแค่เปลี่ยนหน้าตาของข่าวปลอมจากสิ่งพิมพ์สู่ยุคเทคโนโลยี AI แต่จุดประสงค์ยังเหมือนเดิม ราวกับถูกแช่แข็งไว้เกือบร้อยปีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ที่มา: ภาพประกอบบทความเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในไทย โดย พิพิธภัณฑ์รัฐสภา
“เราเห็นการนำผู้หญิงในพื้นที่การเมืองมาเชื่อมโยงกับเรื่องอื้อฉาวทางเพศ ตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ทางการเมือง ด้วยการโจมตีป้ายสีทางเพศ ที่จะเบี่ยงประเด็นเพื่อดิสเครดิตผู้หญิงและทำให้ผู้หญิงหมดความชอบธรรมในเรื่องที่พวกเธอกำลังต่อสู้อยู่”
“เช่นเดียวกับกรณีคุณไอซ์ รักชนก ที่สังคมไม่ได้สนใจประเด็นที่คุณไอซ์กำลังต่อสู้หรือสื่อสารอยู่ ทำให้สังคมไม่ได้พยายามหาคำตอบในเรื่องที่เธอกำลังพูดถึง รวมถึงถูกฝ่ายตรงข้ามดึงเอาประเด็นทางเพศมาโจมตี เพราะฉะนั้นสังคมก็พลาดโอกาสในการที่จะเรียนรู้ หรือรับรู้ข้อเท็จจริง ของสิ่งที่กำลังตั้งคำถามและตรวจสอบความโปร่งใส”
“ผู้หญิงที่ดีต้องไร้ความอื้อฉาวทางเพศ” : โซ่มายาคติที่ล่ามผู้หญิงไม่ให้มีบทบาท
นอกจากการใช้เครื่องมือทำลายความชอบธรรมของเพศหญิงผ่าน “การด้อยค่าทางเพศ” ดร.ชเนตตี กล่าวว่าหากมองในมุมสตรีนิยม การดิสเครดิตผู้หญิงในลักษณะดังกล่าว ไม่เพียงแค่ทำร้ายบุคคลที่โดนกระทำแบบปัจเจกเท่านั้น แต่ยังสะเทือนผลต่อเพศหญิงทุกคน ซึ่งเมื่อกรณีแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลายครั้ง อาจทำให้ผู้หญิงทุกคนรู้สึกหมดพลังโดยปริยายที่จะลุกขึ้นมาทำงานในพื้นที่สาธารณะ เพราะการลุกขึ้นสู้กับคนที่มีอำนาจสนับสนุนอยู่ มักจะถูกบิดประเด็นไปสู่เรื่องอื้อฉาวทางเพศ จากค่านิยม “ผู้หญิงที่ดีต้องไร้มลทินและเรื่องอื้อฉาว”
“อย่างที่เรารู้กัน สังคมยังติดกับดักมายาคติว่าต้องโทษผู้หญิงในเรื่องเพศ นี่คือค่านิยมล้าหลังที่ฝังอยู่ในความคิด โครงสร้าง และวัฒนธรรมการเมืองยาวนาน ว่าผู้หญิงที่ดีจะต้องไม่มีเรื่องอื้อฉาวทางเพศ ดังนั้นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยทางการเมืองมักจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นข้อโต้แย้งง่าย ๆ เพื่อทำลายโอกาสของผู้หญิง ซึ่งเท่ากับทำลายโอกาสของสังคมด้วย เรามีผู้หญิงที่มีศักยภาพจำนวนมาก ที่สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้นำและเปลี่ยนแปลงสังคมได้ แต่เมื่อเอาเรื่องอื้อฉาวทางเพศมาเป็นเครื่องมือโจมตี จะยิ่งทำให้ระบบความยุติธรรมในเรื่องเพศ สะท้อนความไม่เป็นธรรม สังคมจะถอยหลัง และสร้างความหวาดกลัวให้กับเด็กผู้หญิง ที่อาจเป็นอนาคตทางการเมืองในวันข้างหน้า อีกหลายร้อย หลายพันคนจะถูกกล่อมให้ไม่กล้าก้าวขึ้นมา”
“เด็กผู้หญิงที่คิดจะเติบโตในพื้นที่ทางการเมือง และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ จะถูกผลักให้กลายเป็นผู้ที่ต้องเสียหายในเรื่องเพศ ถูกจับจ้องที่เรื่องส่วนตัวและร่างกาย ดังนั้นอยากให้สังคมคืนสติและความรับผิดชอบ หากเผชิญกับข่าวในลักษณะนี้ ต้องหยุดคิดและไม่ส่งต่อ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเด็นการต่อสู้ทางการเมืองเลย”
“ผู้หญิงต้องมีอำนาจภายในมากพอขนาดไหน ที่จะก้าวข้ามการเมืองสกปรกในลักษณะนี้ ดังนั้นเราต้องช่วยกันสนับสนุนผู้หญิงในสังคม และทำให้ทุกคนรับรู้ว่า เมื่อมีผู้หญิงถูกกระทบในเรื่องทางเพศ ทุกคนในสังคมก็ได้รับผลกระทบด้วย หากเราไม่ปกป้องผู้หญิงที่มีความสามารถให้กล้ายืนเป็นผู้นำในทางการเมืองต่อไป การเมืองรุ่นต่อ ๆ ไปอาจถูกครอบงำโดยเพศใดเพศหนึ่ง และกลายเป็นการเมืองที่ขาดความหลากหลายและสมดุลทางเพศและความหลากหลาย ซึ่งความหลากหลายจะนำมาซึ่งการนับรวมความต้องการของผู้คนทั่วทั้งสังคม แต่ถ้าการเมืองถูกนำโดยคนเพียงบางเพศ ความหลากหลายในบางพื้นที่ หรือประเด็นจะหายไป ดังนั้นเราไม่ควรให้ผู้หญิงต้องถูกทำให้เสื่อมเสียจากเรื่องที่ไม่เป็นความจริง”
สร้างกระแสความเกลียดชังผ่าน “ชาตินิยม” และหล่มของ “ปิตาธิปไตย”
อีกในแง่หนึ่งการโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยข่าวปลอม ที่พาดพิงถึงฮุน เซน ซึ่งภาพจำของตัวแทนผู้นำกัมพูชา ดร.ชเนตตี มองว่าการสร้างข่าวปลอมลักษณะนี่เป็นการผลักให้ผู้หญิงออกจากพื้นที่การเมือง ผ่านการปลุกกระแสชาตินิยม ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ในการลดความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม และปลุกกระแสความเกลียดชัง เพราะคนในสังคมอาจถูกชักนำให้มองว่าใครบางคนเป็น ‘คนนอก’ หรือเป็น ‘ภัย’ โดยผู้ที่มีความคิดชนชาตินิยมสุดโต่งสามารถใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการโหมกระพือความเกลียดชังได้ง่าย
“เราควรคืนความเป็นมนุษย์ให้กับนักการเมืองหญิงทุกคน เพื่อพาสังคมไปสู่การเมืองที่ยึดหลักเหตุผลและข้อเท็จจริง มากกว่าการกระพือข่าวลือที่ไม่เป็นจริง สังคมไทยต้องออกจากวังวนการใช้ข่าวลือโจมตีกันในเรื่องเพศได้แล้ว เพราะความเสมอภาคทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย” ดร.ชเนตตี ทินนาม
รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน
ด้าน รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ผู้เสียหายจากข่าวปลอมดังกล่าว ได้ขยายภาพว่า นอกจากเรื่องของความเป็นสังคมชายเป็นใหญ่แล้ว ทุกคนอาจจะไม่ได้ยอมรับผู้หญิงในฐานะ ส.ส. อย่างไร้ข้อกังขา เพราะการเป็นผู้หญิง มักจะถูกตั้งคำถามในทุก ๆ เรื่องเสมอ
“เวลาที่เราจะไปใกล้ชิดกับนักการเมืองผู้ชายในพรรคเดียวกัน ก็มักจะถูกตั้งคำถามว่า “ทำไมถึงไปนั่งกินข้าวกับคนนี้บ่อย” หรือ “ทำไมถึงไปคุยงานที่ห้องกับคนนั้นบ่อย” ทั้งที่จริง ๆ แล้วเราคุยกับทุกคนเหมือนกันหมด แต่ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกัน ไปกินข้าวด้วยกันหรือทำกิจกรรมร่วมกัน กลับไม่มีใครมองเป็นเรื่องผิด แต่พอเป็นผู้หญิงกลับต้องระวังไม่ให้ถูกตีความ ต้องรักษาระยะห่างตลอดเวลา
“สิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้าเราเป็นผู้ชาย รวมถึงยังมีเรื่องของการคุกคามในสภาผ่านคำพูดที่ไม่ระวัง เช่น พูดถึงกระโปรง พูดถึงหน้า บางคนบอกว่า “พี่ละสายตาจากไอซ์ไม่ได้เลย” หรือ “ทุกคนมองกระโปรงไอซ์หมด” สิ่งเหล่านี้เรารู้สึกว่ามันน่ารังเกียจมาก แต่กลับถูกพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ พอเตือนก็หาว่าเราคิดมาก หรือบอกว่า “แซวเล่นเฉย ๆ” ทั้งที่เรารู้สึกซีเรียสและไม่ตลกเลย”
บางครั้งยังมีคนพูดถึงรูปเก่าของเรา ทั้งรูปชุดว่ายน้ำหรือรูปถ่ายแบบต่าง ๆ บอกว่า “เป็น ส.ส. แล้วไม่ควรมีรูปแบบนี้” หรือ “ไม่เหมาะสมกับภาพลักษณ์นักการเมืองหญิง” ซึ่งจริง ๆ แทนที่คนจะโฟกัสที่เนื้องาน กลับไปสนใจเรื่องเล็ก ๆ อย่าง กระโปรงสั้น แต่งหน้า ใส่เสื้อรัดรูป หรือไม่ใส่รองเท้าหุ้มส้น มันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องเผชิญมากกว่าผู้ชายอย่างชัดเจน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่า เวลาผู้หญิงถูกวิจารณ์ในสังคม มักถูกบิดประเด็นได้ง่าย เช่น “เป็นผู้หญิงแต่งตัวแบบนี้จะมาสั่งสอนคนอื่นได้ยังไง”หรือเมื่อเรากำลังตรวจสอบใครบางคน ก็มักถูกย้อนกลับมาด้วยคำพูดทำนองว่า “คุณมีสิทธิ์อะไรจะตรวจสอบคนอื่น ในเมื่อคุณเองก็เคยมีรูปไม่เหมาะสม” บางครั้งถึงขั้นถูกโยงไปเรื่องอื่น เช่น “คุณเป็นพวกมีคดี 112” หรือ “คุณอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถาบัน” เพื่อเบี่ยงประเด็นไม่ให้คนสนใจการตรวจสอบจริง ๆ
เรื่องจริงเป็นอย่างไร
เนื้อหาที่อ้างว่า “ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศเชิญ ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ไปอยู่ที่กัมพูชา และแต่งตั้งให้เป็นภรรยาหมายเลข 1” เป็น ข่าวปลอม
ผลการตรวจสอบ ทีมตรวจสอบไม่พบข้อมูลใด ๆ จาก สื่อทางการของกัมพูชา, เว็บไซต์ทางการของรัฐบาลกัมพูชา หรือ สำนักต่างประเทศที่ยืนยันว่า “ฮุน เซน” เคยกล่าวหรือมีท่าทีตามที่โพสต์อ้างไว้
ส่วนภาพและข้อความในโพสต์ดังกล่าวถูก เผยแพร่ในกลุ่ม Facebook ที่ใช้ชื่อว่า “ข่าวกันจอมพลัง” เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยเผยแพร่เนื้อหาล้อเลียนทางการเมืองหลายครั้ง รวมถึง ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ได้ออกมา ยืนยันด้วยตนเองว่าเป็นข่าวเท็จ พร้อมระบุว่าแม้เนื้อหาดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในลักษณะ “ล้อเลียน” แต่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และอาจทำให้ผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่รู้เท่าทันสื่อเข้าใจผิดได้










