EN

แชร์

Copied!

ตรวจสอบแล้ว: ปรากฏการณ์ “Red Rain” กรมอุตุฯ-นักวิชาการ ยืนยันไม่มีจริง

24 ก.ค. 6811:03 น.
หมวดหมู่#ข่าวบิดเบือน
ตรวจสอบแล้ว: ปรากฏการณ์ “Red Rain” กรมอุตุฯ-นักวิชาการ ยืนยันไม่มีจริง

ปรากฏการณ์ฝน "Red Rain" แค่คำสร้างเองไม่มีข้อมูลวิชาการรองรับ พบเป็นเพียงการวิเคราะห์ส่วนตัว กรมอุตุฯ ยืนยัน หลังพายุวิภาไม่มีฝนถล่ม 40 ชั่วโมงจากปรากฏการณ์ดังกล่าว และสถานการณ์น้ำท่วมเกิดจากปัจจัยอื่นเป็นหลัก

จากการตรวจสอบเรื่องนี้ Thai PBS Verify พบว่าเป็นข้อมูลที่เกิดความเข้าใจผิด จากกรณีที่มีการแชร์โพสต์อ้างถึงปรากฏการณ์ “Red Rain” หลังการสลายตัวของพายุวิภา ซึ่งระบุว่าจะมีฝนถล่มภาคเหนือยาวนานถึง 40 ชั่วโมง จนเกิดน้ำท่วมหนักนั้น กรมอุตุนิยมวิทยา ยืนยันว่า ไม่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Red Rain ในทางวิชาการ และหลังจากพายุวิภาสลายตัวแล้ว ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดฝนในประเทศไทยจะมาจากร่องมรสุมและฝนตามฤดูกาล จึงขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการอย่างใกล้ชิด

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก : Facebook

ตรวจสอบพบโพสต์ อ้างปรากฏการณ์ Red Rain ว่าเป็นปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติ มีความรุนแรงมากกว่าพายุถึง 3 เท่า ก่อให้เกิดมวลน้ำมหาศาลและฝนตกต่อเนื่องจนทำให้เกิดน้ำท่วมหนัก โดยโพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ต่อไปมากกว่า 2,000 ครั้ง และมีผู้เข้ามาแสดงความรู้สึกกว่า 4,000 ครั้ง

ในส่วนหนึ่งของโพสต์ระบุว่า

Red Rain รุนแรงกว่าพายุฝนทั่วไปถึงสามเท่า แถมเกิดเม็ดฝนขนาดใหญ่และสร้างมวลน้ำฝนได้มหาศาล แค่การเกิดฝนตกหนักของ Red Rain เพียง 1-2 ชั่วโมง ก็สามารถทำให้น้ำท่วมอำเภอเมืองได้ทั้งจังหวัด 

และฝนตกรุนแรงที่ อ.พญาเม็งราย จ.เชียงรายจะโดน Red Rain เข้าถล่มแบบแช่นานถึง 18 ชั่วโมง อุทกภัยจากฝนตกหนักและการเข้าถล่มของ Red Rain  แบบรุนแรงที่สุดก็คือ อำเภอเมืองเชียงราย ที่จะต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ Red Rain  เข้าถล่มนานถึงกว่า 40 ชั่วโมงแบบข้ามวันข้ามคืน อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างหนักถึงหนักที่สุดในตัวเมือง และต้องใช้เวลานานกว่าจะระบายน้ำออกให้หมดได้

สรุป จังหวัดและอำเภอต่าง ๆ ที่จะถูกปรากฏการณ์ Red Rain เข้าถล่ม ผมขอเตือนเพื่อน ๆ ที่ติดตาม facebook ของผม ที่ท่านอาศัยอยู่ในพื้นที่ ดังกล่าว ให้เตรียมตัวรับมือให้อยู่ในขั้นสูงสุดนะครับ ต้องช่วยเหลือตนเองและเพื่อน ๆให้มากที่สุด อย่าไปคาดหวังกับรัฐบาลกันมาก เพราะตอนนี้ทักษิณกับลูกสาว กำลังมัวแต่เดินสาย ทำลายและแก้แค้นพรรคภูมิใจไทยอย่างเดียว ไม่ได้มีความสนใจความเป็นอยู่ของประชาชนอีกแล้ว

กรมอุตุฯ ยืนยัน Red Rain ไม่มีอยู่จริง

สมควร ต้นจาน รองโฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา และผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ ยืนยันว่าข้อมูลที่ระบุว่าเกิดปรากฏการณ์ “Red Rain” และฝนถล่มติดต่อกันนานกว่า 40 ชั่วโมง ไม่เป็นความจริง ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงกระแสข่าวที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีพื้นฐานทางวิชาการ เพราะในทางอุตุนิยมวิทยา ไม่มีคำศัพท์หรือปรากฏการณ์ใดที่เรียกว่า “Red Rain” (ลิงก์บันทึก)

สมควร ต้นจาน รองโฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา และผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ

สมควร ต้นจาน รองโฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา และผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ ยืนยันว่าข้อมูลที่ระบุว่าเกิดปรากฏการณ์ “Red Rain” และฝนถล่มติดต่อกันนานกว่า 40 ชั่วโมง ไม่เป็นความจริง ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงกระแสข่าวที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีพื้นฐานทางวิชาการ เพราะในทางอุตุนิยมวิทยา ไม่มีคำศัพท์หรือปรากฏการณ์ใดที่เรียกว่า “Red Rain” (ลิงก์บันทึก)

รองโฆษกกรมอุตุฯ กล่าวว่าสำหรับสถานการณ์ฝนในประเทศไทย ผลกระทบในระดับรุนแรงจากพายุวิภา จะเกิดขึ้นเพียงช่วงวันที่ 28–29 กรกฎาคมนี้ หลังจากนั้นอาจมีฝนตกหนักบางแห่ง แต่ไม่ต่อเนื่อง และจะกลับเข้าสู่สภาวะฝนตามฤดูกาลในช่วงปลายเดือน

นอกจากนี้ แม้อาจมีอิทธิพลเล็กน้อยจากพายุฝั่งประเทศฟิลิปปินส์ แต่พายุไม่ได้เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง ดังนั้น ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดฝนยังคงเป็นร่องมรสุมตามฤดูกาล จึงไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องหรือยาวนานเกินจริงตามที่มีการกล่าวอ้าง

ทางด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไตรเทพ วิชย์โกวิทเทน ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า แม้พายุวิภาจะส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของประเทศไทยในขณะนี้ แต่เมื่อพายุเคลื่อนผ่านไปแล้ว โอกาสที่จะเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องจะลดลงอย่างมาก เนื่องจากพายุเกิดจากการปะทะกันของอากาศร้อนและเย็น รวมถึงแรงลมที่มาจากทะเลหรือมหาสมุทร ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเกิดลมมรสุมและฝนฟ้าคะนอง แต่เมื่อพายุผ่านไป สภาพอากาศจะเริ่มนิ่ง อุณหภูมิไม่แปรปรวนเหมือนเดิม ทำให้ฝนลดน้อยลงตามธรรมชาติ (ลิงก์บันทึก)

“ส่วนตัวไม่เคยได้ยินคำว่า Red Rain ปกติจะคุ้นชื่อของ Rain Bomp (ระเบิดฝน) ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก 

“แต่สำหรับปรากฏการณ์ที่อ้างว่าเป็น Red Rain หลังจากเกิดพายุวิภาแล้วมีฝนตกถล่มนั้น หากพายุวิภาผ่านไปแล้ว จะไม่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะฝนตกหนักต่อเนื่องอีกต่อไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากต้องทำความเข้าใจว่า การเกิดขึ้นของพายุนั้น เมื่อพายุก่อตัว ก็จะต้องมีทิศทางการเคลื่อนที่ ซึ่งโดยปกติแล้วสภาพภูมิอากาศบนพื้นแผ่นดิน มีทั้งความกดอากาศต่ำและความกดอากาศสูง โดยความแตกต่างของสภาพอากาศทั้งสอง หากมีความต่างกันมาก ก็จะทำให้เกิดการเลื่อนไหลของมวลอากาศ ซึ่งมีอุณหภูมิเป็นตัวแปรสำคัญอีกหนึ่งอย่างด้วยเช่นเดียวกัน ฉะนั้นหากความแตกต่างทั้งสอง 2 ชนิดนี้ ไปพาดผ่านบนทะเลหรือมหาสมุทร ก็จะทำให้เกิดลมมรสุมเกิดขึ้น ซึ่งสำหรับประเทศไทยมักได้อิทธิพลจากพายุไต้ฝุ่น ซึ่งถือเป็นพายุที่รุนแรงที่สุด”

“อย่างไรก็ตามเมื่อไปพายุพัดผ่านไปแล้ว โดยปกติทั่วไปการเลื่อนไหลของอุณหภูมิก็จะลดลง ทำให้โอกาสการเกิดฝนตกหนักเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย”

แล้วคำว่า “Red Rain” มาจากไหน?

เมื่อย้อนไปดูโพสต์ ของบัญชีดังกล่าวย้อนหลัง จะพบว่า ได้อธิบายเกี่ยวกับคำว่า ปรากฏการณ์ Red Rain ไว้ว่าเป็นเพียงคำศัพท์ที่ผู้ใช้บัญชีดังกล่าวสร้างขึ้นมาเอง อ้างว่า เป็นปรากฏการณ์ฝนตกหนักผิดธรรมชาติ ที่เครื่องมือไม่สามารถจับพิกัดการเคลื่อนที่ของการเกิดฝนได้ และฝนมีขนาดเม็ดใหญ่สามารถก่อให้เกิดความเสียหาย รวมถึงรัฐบาลไม่มีงบเพียงพอในการรับมือสถานการณ์นี้ และเนื้อหาในโพสต์เป็นเพียงการวิเคราะห์และความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น

โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งในโพสต์ ระบุว่า

ปรากฏการณ์ Red Rain (ฝนแดง) เป็นศัพท์ที่ผมตั้งขึ้นมาเอง หมายถึงการเกิดปรากฏการณ์ ฝนตกหนักผิดธรรมชาติ อย่างรุนแรงและมีปริมาณฝนมาก และมีเม็ดฝนขนาดใหญ่ผิดปกติ เทียบเท่ากับฝนพายุหรือมากกว่า แม้ว่าจะไม่ใช่พายุฝนเลยก็ตาม

Red Rain ต่างจาก Rain Bomb ที่นักวิชาการชอบเรียกว่า ปรากฏการณ์การเกิดการระเบิดของฝน ที่ทำให้ฝนตกหนักในช่วงสั้น ๆ

แต่ Red Rain โหดกว่านั้นเยอะ เพราะเกิดจากฝีมือมนุษย์ ที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจสร้างมันขึ้นมา เช่นเกิดจากเครื่องมือเทคโนโลยีที่มนุษย์ตั้งใจผลิตขึ้น หรือ เกิดจากความผิดพลาด ของอุปกรณ์เกิดการรั่วซึมของก๊าซ ที่มนุษย์ผลิตขึ้น ทำให้เกิดฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป และไม่สามารถแก้ไขได้

โดยผู้ใช้บัญชีดังกล่าวตั้งข้อสังเกตว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หลายประเทศ เช่น จีน, สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ประสบกับฝนตกหนักและน้ำท่วมอย่างผิดปกติ โดยเชื่อมโยงปรากฏการณ์เหล่านี้กับโครงการทดลอง “ดวงอาทิตย์เทียม” ซึ่งเชื่อว่าไม่สามารถควบคุมให้เสถียรได้ และอาจส่งผลให้เกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศในหลายภูมิภาค 

ประเทศไทยเคยเกิดปรากฏการณ์นี้แล้วในเชียงใหม่และแม่สาย ทำให้เกิดน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากโดยไม่ทันตั้งตัว พร้อมเตือนว่ามีแนวโน้มจะเกิด Red Rain ซ้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เช่น น่าน, เชียงราย, พะเยา, ตาก และบางส่วนของเชียงใหม่ โดยผู้เผยแพร่เชื่อว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เป็นผลจากฝีมือมนุษย์ และแสดงความกังวลถึงความไม่พร้อมของภาครัฐในการรับมือ พร้อมแนะนำประชาชนในพื้นที่เตรียมความพร้อมป้องกันอันตรายจากฝนตกหนัก น้ำป่า

พร้อมกล่าวว่า ความน่ากลัวของ Red Rain ทำให้ฝนตกหนักแค่หนึ่งชั่วโมง ก็ทำให้น้ำท่วมหนักได้ทั้งจังหวัด ด้วยขนาดของเม็ดฝนที่ใหญ่ผิดปกติทำให้เกิดปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติถึงสามเท่า และยากที่จะรับมือทัน

ทั้งนี้ข้อมูลที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียงความคิดเห็นที่ไม่มีข้อมูลทางวิชาการรองรับของผู้ใช้บัญชี Facebook รายหนึ่งเท่านั้น ในส่วนของสถานการณ์พายุหรือสภาพอากาศควรติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)  อย่างใกล้ชิด

กระบวนการตรวจสอบ

ตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งข้อมูลทางการ
ตรวจสอบกับ กรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งยืนยันว่า ปรากฏการณ์ “Red Rain” และฝนถล่มติดต่อกันนานกว่า 40 ชั่วโมง ไม่เป็นความจริง เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีพื้นฐานทางวิชาการ

ผลกระทบจากการรับข้อมูลลักษณะนี้

  1. สร้างความตื่นตระหนกให้แก่คนจำนวนมาก
    การกล่าวอ้างว่า Red Rain จะทำให้เกิดฝนตกต่อเนื่องยาวนานถึง 40 ชั่วโมง และทำให้น้ำท่วมหนักทั้งจังหวัด ทำให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกหวาดกลัว หวั่นวิตก และเร่งเตรียมตัวรับมือเกินความจำเป็น
  2. เบี่ยงเบนการรับมือกับข้อมูลจริง
    ผู้คนอาจหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และละเลยคำเตือนจากแหล่งข่าวทางการ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดความสับสนในการรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจริง เช่น พายุหรือฝนตกหนักในบางพื้นที่

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

  1. อย่าแชร์ต่อทันที
    ควรหยุดและตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลนั้นมีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือหรือไม่ เช่น หน่วยงานทางการ หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดยตรง

  2. ตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ
    ติดตามประกาศจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)