วันนี้ (23 มิ.ย.2568) CNN รายงาน ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ต้อนรับ นายอับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ที่เครมลินในกรุงมอสโก การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่กองทัพอิสราเอลยังคงโจมตีกรุงเตหะรานอย่างต่อเนื่อง ปูตินใช้โอกาสนี้ประณามการโจมตีของสหรัฐฯ ต่อโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน โดยระบุว่าเป็น การรุกรานที่ไร้เหตุผลและไม่ชอบธรรม พร้อมยืนยันว่ารัสเซียจะให้การสนับสนุนประชาชนอิหร่านอย่างเต็มที่
ภาพเผยแพร่โดยเครมลิน ปูตินพบปะคณะผู้แทนอิหร่านในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา โดยมีนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย และ นายยูรี อูชาคอฟ ที่ปรึกษาระดับสูงและอดีตเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำวอชิงตัน ร่วมอยู่ด้วย ปูตินกล่าวว่า รัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ยาวนาน เป็นมิตร และน่าเชื่อถือกับอิหร่าน และกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนประชาชนอิหร่าน พร้อมชี้ว่าสหรัฐฯ ถูกอิสราเอลกระตุ้นให้โจมตีอิหร่าน
ปูตินยังเปิดเผยว่าเขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับผู้นำโลกหลายคน รวมถึง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ นายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ปธน.โมฮัมเหม็ด อัล นาห์ยาน ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ ปธน.มาซูด เปเซชเคียน ของอิหร่าน เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม เครมลินระบุเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (22 มิ.ย.) ว่าไม่มีแผนให้ปูตินพูดคุยกับทรัมป์หลังการโจมตีของสหรัฐฯ
ด้านนายอับบาส อารักชี กล่าวขอบคุณปูตินสำหรับการสนับสนุน โดยระบุว่ารัสเซียอยู่ฝ่ายที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์และกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมยกย่องความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างเตหะรานและมอสโกที่พัฒนาเป็นความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รมว.ต่างประเทศอิหร่าน ยังเน้นย้ำว่ารัสเซียมีบทบาทสำคัญในการเจรจานิวเคลียร์และการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์พลเรือนของอิหร่าน โดยเฉพาะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บูเชห์ร ซึ่งรัสเซียมีส่วนร่วมในการก่อสร้างและบริหารจัดการ
อารักชี กล่าวถึงการโจมตีของอิสราเอลและสหรัฐฯ ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและยืนยันว่าอิหร่านจะตอบโต้อย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ เขายังปฏิเสธการเจรจาทางการทูตกับสหรัฐฯ ภายใต้สถานการณ์ที่อิหร่านถูกโจมตี โดยระบุว่า สหรัฐฯ ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่นักการทูต แต่เข้าใจเพียงภาษาของการข่มขู่และกำลัง

ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านแข็งแกร่งขึ้นนับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนในปี 2565 อิหร่านเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของรัสเซีย โดยจัดหาอาวุธ รวมถึงขีปนาวุธพิสัยใกล้และโดรนชาเฮดหลายพันลำให้รัสเซียใช้ในสงครามยูเครน นอกจากนี้ อิหร่านยังสร้างโรงงานผลิตโดรนในรัสเซียเพื่อสนับสนุนการรบของมอสโก
ในทางกลับกัน รัสเซียให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์พลเรือนแก่อิหร่าน รวมถึงการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าบูเชห์รในภาคใต้ของอิหร่าน ซึ่งปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญรัสเซียประจำการอยู่ราว 200 คน ปูตินขอบคุณอิสราเอลที่รับประกันความปลอดภัยให้กับผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างทั้งสองชาติที่ลงนามเมื่อเดือนมกราคม 2568 ไม่รวมถึงข้อตกลงป้องกันร่วม ทำให้รัสเซียไม่มีพันธะต้องให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อิหร่านในยามสงคราม ถึงกระนั้น รัสเซียยังคงแสดงจุดยืนสนับสนุนอิหร่านในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นนิวเคลียร์และการตอบโต้การโจมตีจากอิสราเอลและสหรัฐฯ
ปูตินพยายามวางตัวเป็นคนกลางในความขัดแย้ง โดยเสนอตัวไกล่เกลี่ยระหว่างอิหร่าน อิสราเอล และสหรัฐฯ แต่ทรัมป์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยระบุว่าให้ปูตินจัดการปัญหาของตัวเองก่อน รัสเซียประณามการโจมตีของสหรัฐฯ และอิสราเอลว่าเป็น "การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ" และเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ดำเนินการ
ในขณะเดียวกัน จีน ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของอิหร่าน ได้ประณามการโจมตีของอิสราเอลและสหรัฐฯ โดยนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ระบุว่าการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์เป็นแบบอย่างที่อันตราย และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจา ด้านสหประชาชาติ โดยเลขาธิการ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส แสดงความกังวลต่อความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะลุกลาม และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดความตึงเครียด
อ่านข่าวอื่น :