มะละกอเรดเลดี้เป็นสายพันธุ์หนึ่งที่มาจากไต้หวัน มีลักษณะเด่นคือจะมีแต้มตรงที่ก้นลูกมะละกอ ซึ่งออกเป็นสีแดง ๆ ตรงที่ก้นของมัน ทำให้ดูเหมือนแก้มแดง แม้ว่าลูกจะมีขนาดเล็กประมาณ 6 - 7 ขีด แต่ความหวานเทียบเท่ากับมะละกอลูกใหญ่ทั่วไป
หลายคนมักจะมีปัญหากับกลิ่นของมะละกอที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะเมื่อปอกแช่ตู้เย็นไว้ข้ามคืน ตอนเช้ามากลิ่นเหม็นมะละกอจนทำให้เด็ก ๆ ไม่ชอบ แต่สำหรับเรดเลดี้นั้นแตกต่าง เพราะใส่ตู้เย็นไว้ตื่นเช้ามา กลิ่นจะหอมและหวานมากขึ้น ทำให้เด็ก ๆ ชอบทาน และผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบมะละกอก็สามารถกินได้
นอกจากนี้มะละกอยังมีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะช่วยในระบบขับถ่าย เหมาะสำหรับทั้งเด็กที่ไม่ชอบกินผักและคนแก่ ช่วยทำให้ไม่ท้องผูก
พี่เฉลียว หนุ่มภาคใต้หัวใจเกษตร เจ้าของสวนมะละกอเรดเลดี้ ได้แบ่งปันเคล็ดลับในการปลูกมะละกอสายพันธุ์นี้ ซึ่งเขาปลูกในพื้นที่ดินเหนียวแถบปากน้ำที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ได้เปรียบเรื่องสี ความหวาน และรสชาติที่ดีกว่าปลูกในพื้นที่ดินร่วนหรือดินทราย
การเตรียมแปลงปลูกมะละกอเรดเลดี้ ต้องเริ่มจากการขุดร่องเพื่อเก็บน้ำให้มีใช้ตลอด จากนั้นทำเป็นเนินร่องอีกทีเพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในช่วงฝนตกหนัก โดยทำเป็นสันร่องขึ้นมาสูงประมาณ 50 เซนติเมตร ให้การระบายน้ำดี
การปลูกมะละกอเรดเลดี้ที่ดีที่สุดควรใช้ระยะห่างระหว่างต้น 2.5 เมตร และระยะห่างระหว่างแถว 3 เมตร เมื่อปลูกเสร็จแล้ว ใบมะละกอจะมาชนกันพอดี ทำให้ดูแลง่ายในการป้องกันโรค
คุณเฉลียวใช้วิธีเพาะเนื้อเยื่อ ซึ่งจะได้ต้นกะเทย 100% ไม่ต้องเสียเวลาคัดแยกเพศ โดยมะละกอมี 3 ลักษณะดอก คือ ดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย และดอกกะเทย ซึ่งดอกกะเทยคือดอกที่สมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน
วิธีการปลูก ให้ขุดหลุมตื้น ๆ เพียงให้วางต้นกล้าเสมอหน้าดิน ไม่ควรขุดลึกเพราะเวลารดน้ำจะขัง ทำให้รากเน่าได้
ระบบการให้น้ำที่สวนของคุณเฉลียวใช้ระบบสปริงเกอร์ โดยให้น้ำประมาณ 4 - 5 ร้อยลิตรต่อชั่วโมง เปิดประมาณ 10 - 15 นาทีต่อวัน การให้น้ำที่ดีควรให้ช่วงเช้า
คุณเฉลียวใช้ขี้ไก่แกลบที่หมักประมาณ 5 - 6 เดือนจนแกลบเป็นสีดำ ใส่ประมาณ 3 - 4 เดือนครั้ง ต้นละประมาณ 10 - 15 กิโล โดยใส่เป็นวงรอบต้น เพราะรากฝอยของมะละกอจะอยู่วงด้านนอก
นอกจากนี้ยังใช้เกลือเม็ดใหญ่ใส่ปีละครั้ง ต้นละประมาณกำมือ ซึ่งจะช่วยให้ผลไม้มีความหวานมากขึ้น
ในหน้าร้อนมักมีปัญหาแมลงปากดูด เช่น เพลี้ย เพลี้ยไฟ ไรแดง คุณเฉลียวใช้น้ำหมักจากยาสูบฉีดพ่น และมีการตกแต่งใบที่มีปัญหา โดยตัดเฉพาะปลายใบที่เป็นเชื้อรา เพราะถ้าตัดใกล้ลำต้น เชื้อราอาจเข้าลำต้นได้
คุณเฉลียวยังใช้มะละกอที่ตกเกรดหรือมีตำหนิมาทำเป็นน้ำหมัก โดยใช้ส่วนผสมดังนี้:
วิธีทำคือนำส่วนผสมทั้งหมดมาคนให้เข้ากัน ปิดฝาไม่ต้องแน่นสนิท ตั้งไว้ที่ร่ม และคนทุกวัน หมักประมาณ 2 เดือนก็สามารถใช้ได้ โดยใช้อัตราส่วน 20 cc ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นช่วงเช้าไม่เกิน 10 โมง
ต้นมะละกอจะเริ่มติดลูกหลังจากปลูกประมาณ 2 เดือน และเริ่มสุกหลังจากนั้นอีก 4 เดือน รวมระยะเวลาตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 6 เดือน โดยจะเก็บเกี่ยวสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
การเก็บมะละกอทำได้ 2 วิธี คือ การใช้บันได หรือการใช้ไม้สอย โดยพันผ้านุ่ม ๆ ที่ปลายไม้เพื่อไม่ให้ผลช้ำ
การสังเกตว่ามะละกอเรดเลดี้พร้อมเก็บหรือยัง ดูได้จากแต้มที่ก้นผล หากมีแต้ม 4-5 แต้ม ถือว่าสุกเต็มที่ แต่การเก็บขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการขนส่งด้วย บางลูกค้าต้องการแค่ 2 แต้มเพื่อการเก็บรักษานาน บางลูกค้าต้องการ 5 แต้มเพื่อกินได้ทันที
นอกจากการกินสดแล้ว มะละกอเรดเลดี้ยังสามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย ดังนี้
สำหรับใครที่ยังไม่ชอบกินมะละกอสด สามารถทำเป็นน้ำปั่นมะละกอกับนมจืด โดยไม่ต้องเติมน้ำตาลมาก เพราะมะละกอมีความหวานอยู่แล้ว ปั่นกับน้ำแข็ง จะได้เครื่องดื่มที่หอมหวานและได้ประโยชน์
มะละกอเรดเลดี้สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลาย เช่น
คุณเฉลียวและภรรยาคุณอร เดิมทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับชิ้นส่วนรถยนต์ โดยคุณเฉลียวจบการศึกษาด้านวิศวกรรมการจัดการอุตสาหการ ส่วนคุณอรจบบัญชี
หลังจากทำงานมา 13 ปี ทั้งคู่รู้สึกว่าชีวิตจำเจ มีเวลาส่วนตัวน้อย จึงตัดสินใจกลับมาหาอะไรทำที่บ้าน โดยนำความรู้ด้านช่างมาปรับใช้กับการเกษตร เริ่มต้นจากการปลูกผัก เช่น พริก ฟักทอง กะหล่ำปลี คะน้า แล้วค่อยๆ พัฒนามาจนถึงการปลูกมะละกอเรดเลดี้
จุดเริ่มต้นของการปลูกมะละกอเรดเลดี้มาจากการที่คุณเฉลียวได้ลองชิมมะละกอของเพื่อน แล้วรู้สึกประทับใจในรสชาติที่หอมหวาน เนื้อแน่น จึงคิดว่าถ้าตนเองชอบ คนอื่นก็น่าจะชอบด้วย จึงเริ่มปลูกเพียง 100 ต้น
หลังจากปลูกครั้งแรกได้ผลดี ลูกค้าตอบรับดี รวมถึงห้างโมเดิร์นเทรดเข้ามาทำสัญญาซื้อขาย จึงขยายการปลูกเพิ่มเป็น 200, 300 จนถึง 800 ต้น
คุณเฉลียวแนะนำว่า มะละกอเรดเลดี้สามารถเป็นรายได้หลักที่ดี เพราะให้ผลตอบแทนเร็วและรายได้ดี คุ้มกับการลงทุน โดยราคาขายอยู่ที่ 40-50 บาทต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้ การทำเกษตรยังให้ความสุขในชีวิต มีอิสระในการทำงาน มีเวลาเป็นของตัวเอง ได้อยู่กับครอบครัว และได้อยู่กับธรรมชาติ
สำหรับใครที่สนใจอยากลองปลูกมะละกอเรดเลดี้ คุณเฉลียวบอกว่า แม้ตอนแรกคนแถวบ้านจะไม่รู้จัก แต่พอได้ลองชิม ก็ติดใจในความอร่อย ความหอมหวาน และเนื้อที่แน่นไม่เละ ทำให้มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
มะละกอเรดเลดี้หรือสาวน้อยแก้มแดง เป็นมะละกอสายพันธุ์พิเศษที่มีลักษณะเด่นคือ มีแต้มแดงที่ก้นผล กลิ่นหอม รสชาติหวานจัด และเนื้อแน่นไม่เละ แม้จะมีขนาดเล็กกว่ามะละกอทั่วไป แต่ความหวานและคุณภาพไม่แพ้กัน
การปลูกมะละกอเรดเลดี้ต้องเริ่มจากการเตรียมแปลงที่ดี ใช้ระยะห่างที่เหมาะสม และดูแลอย่างสม่ำเสมอทั้งเรื่องการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย และการป้องกันโรคและแมลง
สำหรับใครที่กำลังมองหาอาชีพที่มีอิสระและรายได้ดี การปลูกมะละกอเรดเลดี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะให้ผลตอบแทนเร็วและเป็นที่ต้องการของตลาด
ติดตามชมรายการมหาอำนาจบ้านนา วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.05 - 16.30 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live
มะละกอเรดเลดี้เป็นสายพันธุ์หนึ่งที่มาจากไต้หวัน มีลักษณะเด่นคือจะมีแต้มตรงที่ก้นลูกมะละกอ ซึ่งออกเป็นสีแดง ๆ ตรงที่ก้นของมัน ทำให้ดูเหมือนแก้มแดง แม้ว่าลูกจะมีขนาดเล็กประมาณ 6 - 7 ขีด แต่ความหวานเทียบเท่ากับมะละกอลูกใหญ่ทั่วไป
หลายคนมักจะมีปัญหากับกลิ่นของมะละกอที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะเมื่อปอกแช่ตู้เย็นไว้ข้ามคืน ตอนเช้ามากลิ่นเหม็นมะละกอจนทำให้เด็ก ๆ ไม่ชอบ แต่สำหรับเรดเลดี้นั้นแตกต่าง เพราะใส่ตู้เย็นไว้ตื่นเช้ามา กลิ่นจะหอมและหวานมากขึ้น ทำให้เด็ก ๆ ชอบทาน และผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบมะละกอก็สามารถกินได้
นอกจากนี้มะละกอยังมีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะช่วยในระบบขับถ่าย เหมาะสำหรับทั้งเด็กที่ไม่ชอบกินผักและคนแก่ ช่วยทำให้ไม่ท้องผูก
พี่เฉลียว หนุ่มภาคใต้หัวใจเกษตร เจ้าของสวนมะละกอเรดเลดี้ ได้แบ่งปันเคล็ดลับในการปลูกมะละกอสายพันธุ์นี้ ซึ่งเขาปลูกในพื้นที่ดินเหนียวแถบปากน้ำที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ได้เปรียบเรื่องสี ความหวาน และรสชาติที่ดีกว่าปลูกในพื้นที่ดินร่วนหรือดินทราย
การเตรียมแปลงปลูกมะละกอเรดเลดี้ ต้องเริ่มจากการขุดร่องเพื่อเก็บน้ำให้มีใช้ตลอด จากนั้นทำเป็นเนินร่องอีกทีเพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในช่วงฝนตกหนัก โดยทำเป็นสันร่องขึ้นมาสูงประมาณ 50 เซนติเมตร ให้การระบายน้ำดี
การปลูกมะละกอเรดเลดี้ที่ดีที่สุดควรใช้ระยะห่างระหว่างต้น 2.5 เมตร และระยะห่างระหว่างแถว 3 เมตร เมื่อปลูกเสร็จแล้ว ใบมะละกอจะมาชนกันพอดี ทำให้ดูแลง่ายในการป้องกันโรค
คุณเฉลียวใช้วิธีเพาะเนื้อเยื่อ ซึ่งจะได้ต้นกะเทย 100% ไม่ต้องเสียเวลาคัดแยกเพศ โดยมะละกอมี 3 ลักษณะดอก คือ ดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย และดอกกะเทย ซึ่งดอกกะเทยคือดอกที่สมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน
วิธีการปลูก ให้ขุดหลุมตื้น ๆ เพียงให้วางต้นกล้าเสมอหน้าดิน ไม่ควรขุดลึกเพราะเวลารดน้ำจะขัง ทำให้รากเน่าได้
ระบบการให้น้ำที่สวนของคุณเฉลียวใช้ระบบสปริงเกอร์ โดยให้น้ำประมาณ 4 - 5 ร้อยลิตรต่อชั่วโมง เปิดประมาณ 10 - 15 นาทีต่อวัน การให้น้ำที่ดีควรให้ช่วงเช้า
คุณเฉลียวใช้ขี้ไก่แกลบที่หมักประมาณ 5 - 6 เดือนจนแกลบเป็นสีดำ ใส่ประมาณ 3 - 4 เดือนครั้ง ต้นละประมาณ 10 - 15 กิโล โดยใส่เป็นวงรอบต้น เพราะรากฝอยของมะละกอจะอยู่วงด้านนอก
นอกจากนี้ยังใช้เกลือเม็ดใหญ่ใส่ปีละครั้ง ต้นละประมาณกำมือ ซึ่งจะช่วยให้ผลไม้มีความหวานมากขึ้น
ในหน้าร้อนมักมีปัญหาแมลงปากดูด เช่น เพลี้ย เพลี้ยไฟ ไรแดง คุณเฉลียวใช้น้ำหมักจากยาสูบฉีดพ่น และมีการตกแต่งใบที่มีปัญหา โดยตัดเฉพาะปลายใบที่เป็นเชื้อรา เพราะถ้าตัดใกล้ลำต้น เชื้อราอาจเข้าลำต้นได้
คุณเฉลียวยังใช้มะละกอที่ตกเกรดหรือมีตำหนิมาทำเป็นน้ำหมัก โดยใช้ส่วนผสมดังนี้:
วิธีทำคือนำส่วนผสมทั้งหมดมาคนให้เข้ากัน ปิดฝาไม่ต้องแน่นสนิท ตั้งไว้ที่ร่ม และคนทุกวัน หมักประมาณ 2 เดือนก็สามารถใช้ได้ โดยใช้อัตราส่วน 20 cc ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นช่วงเช้าไม่เกิน 10 โมง
ต้นมะละกอจะเริ่มติดลูกหลังจากปลูกประมาณ 2 เดือน และเริ่มสุกหลังจากนั้นอีก 4 เดือน รวมระยะเวลาตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 6 เดือน โดยจะเก็บเกี่ยวสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
การเก็บมะละกอทำได้ 2 วิธี คือ การใช้บันได หรือการใช้ไม้สอย โดยพันผ้านุ่ม ๆ ที่ปลายไม้เพื่อไม่ให้ผลช้ำ
การสังเกตว่ามะละกอเรดเลดี้พร้อมเก็บหรือยัง ดูได้จากแต้มที่ก้นผล หากมีแต้ม 4-5 แต้ม ถือว่าสุกเต็มที่ แต่การเก็บขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการขนส่งด้วย บางลูกค้าต้องการแค่ 2 แต้มเพื่อการเก็บรักษานาน บางลูกค้าต้องการ 5 แต้มเพื่อกินได้ทันที
นอกจากการกินสดแล้ว มะละกอเรดเลดี้ยังสามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย ดังนี้
สำหรับใครที่ยังไม่ชอบกินมะละกอสด สามารถทำเป็นน้ำปั่นมะละกอกับนมจืด โดยไม่ต้องเติมน้ำตาลมาก เพราะมะละกอมีความหวานอยู่แล้ว ปั่นกับน้ำแข็ง จะได้เครื่องดื่มที่หอมหวานและได้ประโยชน์
มะละกอเรดเลดี้สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลาย เช่น
คุณเฉลียวและภรรยาคุณอร เดิมทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับชิ้นส่วนรถยนต์ โดยคุณเฉลียวจบการศึกษาด้านวิศวกรรมการจัดการอุตสาหการ ส่วนคุณอรจบบัญชี
หลังจากทำงานมา 13 ปี ทั้งคู่รู้สึกว่าชีวิตจำเจ มีเวลาส่วนตัวน้อย จึงตัดสินใจกลับมาหาอะไรทำที่บ้าน โดยนำความรู้ด้านช่างมาปรับใช้กับการเกษตร เริ่มต้นจากการปลูกผัก เช่น พริก ฟักทอง กะหล่ำปลี คะน้า แล้วค่อยๆ พัฒนามาจนถึงการปลูกมะละกอเรดเลดี้
จุดเริ่มต้นของการปลูกมะละกอเรดเลดี้มาจากการที่คุณเฉลียวได้ลองชิมมะละกอของเพื่อน แล้วรู้สึกประทับใจในรสชาติที่หอมหวาน เนื้อแน่น จึงคิดว่าถ้าตนเองชอบ คนอื่นก็น่าจะชอบด้วย จึงเริ่มปลูกเพียง 100 ต้น
หลังจากปลูกครั้งแรกได้ผลดี ลูกค้าตอบรับดี รวมถึงห้างโมเดิร์นเทรดเข้ามาทำสัญญาซื้อขาย จึงขยายการปลูกเพิ่มเป็น 200, 300 จนถึง 800 ต้น
คุณเฉลียวแนะนำว่า มะละกอเรดเลดี้สามารถเป็นรายได้หลักที่ดี เพราะให้ผลตอบแทนเร็วและรายได้ดี คุ้มกับการลงทุน โดยราคาขายอยู่ที่ 40-50 บาทต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้ การทำเกษตรยังให้ความสุขในชีวิต มีอิสระในการทำงาน มีเวลาเป็นของตัวเอง ได้อยู่กับครอบครัว และได้อยู่กับธรรมชาติ
สำหรับใครที่สนใจอยากลองปลูกมะละกอเรดเลดี้ คุณเฉลียวบอกว่า แม้ตอนแรกคนแถวบ้านจะไม่รู้จัก แต่พอได้ลองชิม ก็ติดใจในความอร่อย ความหอมหวาน และเนื้อที่แน่นไม่เละ ทำให้มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
มะละกอเรดเลดี้หรือสาวน้อยแก้มแดง เป็นมะละกอสายพันธุ์พิเศษที่มีลักษณะเด่นคือ มีแต้มแดงที่ก้นผล กลิ่นหอม รสชาติหวานจัด และเนื้อแน่นไม่เละ แม้จะมีขนาดเล็กกว่ามะละกอทั่วไป แต่ความหวานและคุณภาพไม่แพ้กัน
การปลูกมะละกอเรดเลดี้ต้องเริ่มจากการเตรียมแปลงที่ดี ใช้ระยะห่างที่เหมาะสม และดูแลอย่างสม่ำเสมอทั้งเรื่องการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย และการป้องกันโรคและแมลง
สำหรับใครที่กำลังมองหาอาชีพที่มีอิสระและรายได้ดี การปลูกมะละกอเรดเลดี้อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะให้ผลตอบแทนเร็วและเป็นที่ต้องการของตลาด
ติดตามชมรายการมหาอำนาจบ้านนา วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.05 - 16.30 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live