ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและความยั่งยืนมากขึ้น "ไก่วิถีอินทรีย์" จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนรักสุขภาพและห่วงใยสิ่งแวดล้อม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการเลี้ยงไก่แบบ Regenerative Farming หรือเกษตรฟื้นฟู ที่มีเกษตรกรจากจังหวัดน่านนำมาปฏิบัติ พร้อมเรียนรู้ว่าทำไมไก่วิถีอินทรีย์จึงแตกต่างจากไก่อุตสาหกรรมทั่วไป
เกษตรกรจากจังหวัดน่านเล่าว่า "ที่เริ่มเลี้ยงไก่เพราะว่าอยากทานอาหารที่ดี ปลอดภัย เป็นธรรมต่อธรรมชาติ" การเลี้ยงไก่วิถีอินทรีย์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อธุรกิจ แต่เกิดจากความต้องการที่จะมีแหล่งอาหารคุณภาพดีสำหรับครอบครัวและชุมชน
การเลือกทานอาหารที่ดีส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต โดยปกติที่เป็นคนชอบออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก พบว่าการกินดีช่วยปรับปรุง Performance ในการเล่นกีฬา และที่สำคัญคือ "เวลากินอาหารที่ดีก็รู้สึกดี ระบบย่อยดีขึ้น ท้องไม่อืด ไม่เฟ้อ รู้สึกตัวเบาขึ้น" นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย ทำให้อาการเจ็บปวดตามข้อลดลงด้วย
ไก่วิถีอินทรีย์ที่เลี้ยงเป็นไก่พันธุ์คอร์นิชครอส (Cornish Cross) ซึ่งเป็นไก่เนื้อสีขาว แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างจากไก่ทั่วไปคือวิธีการเลี้ยง "เขามาเลี้ยงในทุ่งแบบออร์แกนิกกับ Regenerative Farming
การเลี้ยงไก่วิถีอินทรีย์แบบนี้มีหลักการสำคัญคือ "ปล่อยให้ไก่มันได้เป็นไก่" โดยให้ไก่อยู่ในทุ่งตลอด 24 ชั่วโมง และย้ายเล้าไก่ทั้งเล้าทุกวัน เพื่อให้พื้นที่สะอาด ไก่ไม่ต้องนอนบนมูลตัวเอง ทำให้เชื้อโรคไม่สะสม และที่สำคัญคือ "ไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ ไม่ต้องให้วัคซีน และไม่ต้องใช้สารเร่งเลย"
อาหารหลักของไก่วิถีอินทรีย์คือพลังงานจากเมล็ดข้าวโพดและถั่วเหลือง แต่สิ่งที่ทำให้รสชาติลึกและแตกต่างคือ "หญ้า แมลง และหนอนที่อยู่ตามทุ่ง" ซึ่งเป็นเหมือนขนมหรือของทานเล่นสำหรับไก่ "มันจะทำให้ไก่มีรสชาติที่ลึก เพราะถ้ากินข้าวโพดกินถั่วเหลืองเหมือนเดิมทุกวัน มันก็ Flavour farm มันจะไม่ลึกเท่าไหร่"
ในทุ่งมีหญ้าหลากหลายชนิด 20-30 ชนิด และไก่สามารถเลือกกินตามความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ซึ่งเป็นการ "ฟังตัวมันเอง ฟังความเป็นธรรมชาติของมัน" นอกจากนี้ไก่ยังชอบกินแมงเม่า หอยทาก และแมลงต่างๆ ในฤดูฝน
ไก่วิถีอินทรีย์ที่ฟาร์มจะเลี้ยง 7-9 สัปดาห์ ซึ่งช้ากว่าไก่อุตสาหกรรมทั่วไป เหตุผลคือ "ให้ไก่มันค่อยๆ โต ไม่ต้องเร่งมันมาก มันจะสุขภาพดีขึ้นด้วย" การให้เวลาไก่เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติทำให้เนื้อมีความแน่น มีความยึดติดกัน และมีเนื้อสัมผัสที่ดีกว่าไก่อุตสาหกรรม
การเลี้ยงไก่วิถีอินทรีย์มีความท้าทายที่สำคัญคือ "ต้องคอยสังเกตมันทุกวัน" เพราะยังไม่ค่อยมีใครเลี้ยงในเมืองไทย ทั้งสภาพอากาศและแหล่งลูกไก่จากต่างประเทศ
สภาพอากาศเมืองไทยที่ร้อนถึง 40 กว่าองศาในหน้าร้อนเป็นปัญหาใหญ่ เพราะไก่พันธุ์คอร์นิชครอสเป็นไก่พันธุ์ไฮบริดจากเมืองนอก จึงต้องมีการปรับวิธีเลี้ยงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศไทย เพื่อ "ให้มันสบายขึ้น แข็งแรงขึ้น ให้มันเครียดน้อยลง" อีกปัญหาหนึ่งคือสัตว์อื่นที่คิดว่าไก่อร่อยเช่นกัน โดยเฉพาะงู แต่ด้วยการย้ายเล้าทุกวันและการไม่ใช้สารเคมี ทำให้ไก่มีสุขภาพดี เจ็บป่วยน้อยมาก "เชื้อโรคก็ไม่สะสม"
เนื้อนุ่มแต่ไม่เละ: ยังต้องเคี้ยวอยู่แต่มันไม่เหนียว ต่างจากไก่อุตสาหกรรมที่เนื้อแยกออกจากกระดูกง่ายเกินไป
หนังและเนื้อยึดติดกัน: เวลาเลาะกระดูกหรือเลาะหนัง จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นไก่คุณภาพดี เพราะมีความแน่นและยึดติดกันดี
รสชาติลึก: จากการที่ไก่กินอาหารหลากหลาย ทำให้มีรสชาติที่เข้มข้นและซับซ้อนกว่า
เมนูที่ดัดแปลงมาจากข้าวพิลาฟหรือข้าวอินเดีย ใช้เครื่องเทศ รากผักชี กระเทียม สะระแหน่ ขมิ้น และผงมาซาล่า ผัดกับข้าวเก่าแล้วนำไก่ที่หมักไว้มาหมกร่วมกัน จนได้รสชาติที่หอมกรุ่นของเครื่องเทศ
เมนูพื้นบ้านภาคเหนือที่ใช้มะแขว่น หมักกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย เกลือ และพริกป่น จากนั้นโรยแป้งข้าวเจ้าผสมแป้งท้าวยายม่อมแล้วทอด จะได้เนื้อที่ชุ่มฉ่ำข้างในและกรอบกรุบข้างนอก
นอกจากสุขภาพร่างกายแล้ว ไก่วิถีอินทรีย์ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตใจด้วย เกษตรกรเล่าว่า "สัตว์ที่เครียดมันก็มีฮอร์โมนเครียดออกมา มันก็อยู่ในเนื้อ แล้วเราก็กิน เราก็ได้ฮอร์โมนเครียดจากสัตว์" การให้ไก่มีชีวิตที่มีความสุข มีพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การจิก การเขี่ย และการสังสรรค์กัน ทำให้ไก่ไม่เครียด และเนื้อที่เราได้รับมาก็ปราศจากฮอร์โมนเครียดเหล่านั้น
เกษตรกรเปิดเผยว่า "ฟาร์มเราจะโชว์วิธีการเลี้ยงทั้งหมด ไม่ปิดบังอะไร ดูรูปดูวิดีโอเราถ่ายให้ดูหมด" ความโปร่งใสนี้สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค และเป็นการการันตีคุณภาพของไก่วิถีอินทรีย์
การเลือกซื้อไก่วิถีอินทรีย์ไม่ได้แค่ดีต่อสุขภาพของเรา แต่ยังเป็นการ "ให้คุณค่า เห็นคุณค่าของคนที่เขาผลิตอาหารให้เรากิน" และเป็นการสนับสนุนให้มีผู้ผลิตที่มีกำลังใจ "ผลิตอาหารดีดี ผลิตอาหารอร่อย ไม่ใช่แค่ใส่ใจสุขภาพของเราแต่ว่าใส่ใจสุขภาพของโลก ของธรรมชาติ ของสิ่งแวดล้อม"
"ถ้าอาหารอร่อย ชีวิตเราก็ดีขึ้น" คำพูดง่ายๆ นี้สะท้อนปรัชญาการกินของการเลือกไก่วิถีอินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงสุขภาพร่างกาย การลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม หรือการสนับสนุนเกษตรกรที่ทุ่มเทผลิตอาหารคุณภาพ การเลือกไก่วิถีอินทรีย์จึงไม่ใช่แค่การเลือกอาหาร แต่เป็นการเลือกไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ทั้งผู้บริโภค ผู้ผลิต สัตว์ และโลกใบนี้ ดังคำขวัญที่ว่า "กินอยู่คือ กินเพื่อชีวิตที่ดีของเราและความยั่งยืนของโลก"
ติดตามได้ในรายการกินอยู่คือ วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 เวลา 16.30 - 17.00 น. ทางไทยพีบีเอส
แท็กที่เกี่ยวข้อง:
ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและความยั่งยืนมากขึ้น "ไก่วิถีอินทรีย์" จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนรักสุขภาพและห่วงใยสิ่งแวดล้อม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการเลี้ยงไก่แบบ Regenerative Farming หรือเกษตรฟื้นฟู ที่มีเกษตรกรจากจังหวัดน่านนำมาปฏิบัติ พร้อมเรียนรู้ว่าทำไมไก่วิถีอินทรีย์จึงแตกต่างจากไก่อุตสาหกรรมทั่วไป
เกษตรกรจากจังหวัดน่านเล่าว่า "ที่เริ่มเลี้ยงไก่เพราะว่าอยากทานอาหารที่ดี ปลอดภัย เป็นธรรมต่อธรรมชาติ" การเลี้ยงไก่วิถีอินทรีย์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อธุรกิจ แต่เกิดจากความต้องการที่จะมีแหล่งอาหารคุณภาพดีสำหรับครอบครัวและชุมชน
การเลือกทานอาหารที่ดีส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต โดยปกติที่เป็นคนชอบออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก พบว่าการกินดีช่วยปรับปรุง Performance ในการเล่นกีฬา และที่สำคัญคือ "เวลากินอาหารที่ดีก็รู้สึกดี ระบบย่อยดีขึ้น ท้องไม่อืด ไม่เฟ้อ รู้สึกตัวเบาขึ้น" นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย ทำให้อาการเจ็บปวดตามข้อลดลงด้วย
ไก่วิถีอินทรีย์ที่เลี้ยงเป็นไก่พันธุ์คอร์นิชครอส (Cornish Cross) ซึ่งเป็นไก่เนื้อสีขาว แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างจากไก่ทั่วไปคือวิธีการเลี้ยง "เขามาเลี้ยงในทุ่งแบบออร์แกนิกกับ Regenerative Farming
การเลี้ยงไก่วิถีอินทรีย์แบบนี้มีหลักการสำคัญคือ "ปล่อยให้ไก่มันได้เป็นไก่" โดยให้ไก่อยู่ในทุ่งตลอด 24 ชั่วโมง และย้ายเล้าไก่ทั้งเล้าทุกวัน เพื่อให้พื้นที่สะอาด ไก่ไม่ต้องนอนบนมูลตัวเอง ทำให้เชื้อโรคไม่สะสม และที่สำคัญคือ "ไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ ไม่ต้องให้วัคซีน และไม่ต้องใช้สารเร่งเลย"
อาหารหลักของไก่วิถีอินทรีย์คือพลังงานจากเมล็ดข้าวโพดและถั่วเหลือง แต่สิ่งที่ทำให้รสชาติลึกและแตกต่างคือ "หญ้า แมลง และหนอนที่อยู่ตามทุ่ง" ซึ่งเป็นเหมือนขนมหรือของทานเล่นสำหรับไก่ "มันจะทำให้ไก่มีรสชาติที่ลึก เพราะถ้ากินข้าวโพดกินถั่วเหลืองเหมือนเดิมทุกวัน มันก็ Flavour farm มันจะไม่ลึกเท่าไหร่"
ในทุ่งมีหญ้าหลากหลายชนิด 20-30 ชนิด และไก่สามารถเลือกกินตามความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ซึ่งเป็นการ "ฟังตัวมันเอง ฟังความเป็นธรรมชาติของมัน" นอกจากนี้ไก่ยังชอบกินแมงเม่า หอยทาก และแมลงต่างๆ ในฤดูฝน
ไก่วิถีอินทรีย์ที่ฟาร์มจะเลี้ยง 7-9 สัปดาห์ ซึ่งช้ากว่าไก่อุตสาหกรรมทั่วไป เหตุผลคือ "ให้ไก่มันค่อยๆ โต ไม่ต้องเร่งมันมาก มันจะสุขภาพดีขึ้นด้วย" การให้เวลาไก่เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติทำให้เนื้อมีความแน่น มีความยึดติดกัน และมีเนื้อสัมผัสที่ดีกว่าไก่อุตสาหกรรม
การเลี้ยงไก่วิถีอินทรีย์มีความท้าทายที่สำคัญคือ "ต้องคอยสังเกตมันทุกวัน" เพราะยังไม่ค่อยมีใครเลี้ยงในเมืองไทย ทั้งสภาพอากาศและแหล่งลูกไก่จากต่างประเทศ
สภาพอากาศเมืองไทยที่ร้อนถึง 40 กว่าองศาในหน้าร้อนเป็นปัญหาใหญ่ เพราะไก่พันธุ์คอร์นิชครอสเป็นไก่พันธุ์ไฮบริดจากเมืองนอก จึงต้องมีการปรับวิธีเลี้ยงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศไทย เพื่อ "ให้มันสบายขึ้น แข็งแรงขึ้น ให้มันเครียดน้อยลง" อีกปัญหาหนึ่งคือสัตว์อื่นที่คิดว่าไก่อร่อยเช่นกัน โดยเฉพาะงู แต่ด้วยการย้ายเล้าทุกวันและการไม่ใช้สารเคมี ทำให้ไก่มีสุขภาพดี เจ็บป่วยน้อยมาก "เชื้อโรคก็ไม่สะสม"
เนื้อนุ่มแต่ไม่เละ: ยังต้องเคี้ยวอยู่แต่มันไม่เหนียว ต่างจากไก่อุตสาหกรรมที่เนื้อแยกออกจากกระดูกง่ายเกินไป
หนังและเนื้อยึดติดกัน: เวลาเลาะกระดูกหรือเลาะหนัง จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นไก่คุณภาพดี เพราะมีความแน่นและยึดติดกันดี
รสชาติลึก: จากการที่ไก่กินอาหารหลากหลาย ทำให้มีรสชาติที่เข้มข้นและซับซ้อนกว่า
เมนูที่ดัดแปลงมาจากข้าวพิลาฟหรือข้าวอินเดีย ใช้เครื่องเทศ รากผักชี กระเทียม สะระแหน่ ขมิ้น และผงมาซาล่า ผัดกับข้าวเก่าแล้วนำไก่ที่หมักไว้มาหมกร่วมกัน จนได้รสชาติที่หอมกรุ่นของเครื่องเทศ
เมนูพื้นบ้านภาคเหนือที่ใช้มะแขว่น หมักกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย เกลือ และพริกป่น จากนั้นโรยแป้งข้าวเจ้าผสมแป้งท้าวยายม่อมแล้วทอด จะได้เนื้อที่ชุ่มฉ่ำข้างในและกรอบกรุบข้างนอก
นอกจากสุขภาพร่างกายแล้ว ไก่วิถีอินทรีย์ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตใจด้วย เกษตรกรเล่าว่า "สัตว์ที่เครียดมันก็มีฮอร์โมนเครียดออกมา มันก็อยู่ในเนื้อ แล้วเราก็กิน เราก็ได้ฮอร์โมนเครียดจากสัตว์" การให้ไก่มีชีวิตที่มีความสุข มีพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การจิก การเขี่ย และการสังสรรค์กัน ทำให้ไก่ไม่เครียด และเนื้อที่เราได้รับมาก็ปราศจากฮอร์โมนเครียดเหล่านั้น
เกษตรกรเปิดเผยว่า "ฟาร์มเราจะโชว์วิธีการเลี้ยงทั้งหมด ไม่ปิดบังอะไร ดูรูปดูวิดีโอเราถ่ายให้ดูหมด" ความโปร่งใสนี้สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค และเป็นการการันตีคุณภาพของไก่วิถีอินทรีย์
การเลือกซื้อไก่วิถีอินทรีย์ไม่ได้แค่ดีต่อสุขภาพของเรา แต่ยังเป็นการ "ให้คุณค่า เห็นคุณค่าของคนที่เขาผลิตอาหารให้เรากิน" และเป็นการสนับสนุนให้มีผู้ผลิตที่มีกำลังใจ "ผลิตอาหารดีดี ผลิตอาหารอร่อย ไม่ใช่แค่ใส่ใจสุขภาพของเราแต่ว่าใส่ใจสุขภาพของโลก ของธรรมชาติ ของสิ่งแวดล้อม"
"ถ้าอาหารอร่อย ชีวิตเราก็ดีขึ้น" คำพูดง่ายๆ นี้สะท้อนปรัชญาการกินของการเลือกไก่วิถีอินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงสุขภาพร่างกาย การลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม หรือการสนับสนุนเกษตรกรที่ทุ่มเทผลิตอาหารคุณภาพ การเลือกไก่วิถีอินทรีย์จึงไม่ใช่แค่การเลือกอาหาร แต่เป็นการเลือกไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ทั้งผู้บริโภค ผู้ผลิต สัตว์ และโลกใบนี้ ดังคำขวัญที่ว่า "กินอยู่คือ กินเพื่อชีวิตที่ดีของเราและความยั่งยืนของโลก"
ติดตามได้ในรายการกินอยู่คือ วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 เวลา 16.30 - 17.00 น. ทางไทยพีบีเอส
แท็กที่เกี่ยวข้อง: